คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1122/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ทุนทรัพย์ที่จะถือเป็นหลักฎีกาในข้อเท็จจริงได้หรือไม่นั้น ให้ถือทุนทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้องในศาลชั้นต้นเป็นเกณฑ์ ไม่ใช่ที่ศาลล่างตัดสินให้
โจทก์ฟ้องขอให้แสดงว่าที่พิพาทราคา 5,000 บาทเป็นของโจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายที่ละเมิดเก็บเกี่ยวข้าวในที่พิพาทไปเป็นราคาเงิน 2,000 บาท ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์แม้ว่าค่าเสียหายจะให้เพียง 200 บาทเท่านั้นก็ตาม คู่ความก็ฎีกาข้อเท็จจริงได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องใจความสำคัญโดยย่อว่าจำเลยได้สละการครอบครองที่ดินพิพาทราคา ๔,๐๐๐ บาท ให้โจทก์เป็นการใช้หนี้โจทก์ครอบครองตลอดมา ต่อมาจำเลยบุกรุกเข้าไถนาและเก็บเกี่ยวข้าวในที่พิพาทไปเป็นราคาเงิน ๒,๐๐๐ บาท ขอให้แสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ และให้จำเลยใช้ราคาข้าวที่เก็บเกี่ยวไป ๒,๐๐๐ บาท
จำเลยต่อสู้ว่าไม่เคยยืมเงินและยกที่พิพาทให้โจทก์ จำเลยปกครองตลอดมา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้จำเลยใช้ราคาข้าว ๒๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้ว ตามที่โจทก์ได้คัดค้านในคำแก้ฎีกาว่า คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเพราะทุนทรัพย์ไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาทคือ ราคาที่พิพาทเพียง ๔,๐๐๐ บาท ส่วนค่าเสียหายจะเอามารวมด้วยไม่ได้ ถึงจะเอามารวมศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ให้จำเลยใช้เพียง ๒๐๐ บาทเมื่อรวมกันแล้วก็ยังไม่เกิน ๕,๐๐๐ บาท ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทราคา ๔,๐๐๐ บาทเป็นของโจทก์กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายที่ได้เก็บเกี่ยวเอาข้าวไปเป็นการละเมิดอีก ๒,๐๐๐ บาท จึงเป็นทุนทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้องในศาลชั้นต้นรวมกันเป็นเงิน ๖,๐๐๐ บาท ทุนทรัพย์ที่จะถือในชั้นรับฎีกาต้อถือทุนทรัพย์ในศาลชั้นต้น แม้ทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาจะไม่ถึงกำหนด ถ้าในศาลชั้นต้นทุนทรัพย์ไม่ต้องห้ามแล้ว ฎีกาได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงต่อไป แล้วพิพากษายืน

Share