คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1121/2480

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

++++
++++ที่ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อผู้พิพากษาซึ่งนั่ง+++ในศาลชั้นต้นรับอนุญาตให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ดังนี้ ศาลฎีกา++พิจารณาต่อไปได้+++โจทก์ฟ้องอ้างว่าจำเลยมี+++ฝิ่นซึ่งมีมอร์ฟินผสมอยุ่ด้วย ในชั้นพิจารณาโจทก์อ้างผู้เชี่ยวชาญซึ่งได้ตรวจแยกธาตุยารายนี้เบิกความว่ามีมอร์ฟินจริง แต่โจทก์มิได้นำยาที่ได้แยกธาตุแล้วมาเป็นพะยานที่ศาลและ++++ให้จำเลยตรวจดูด้วย++++ยาที่มีได้ตรวจแยก++++เป็นพะยานเท่านั้น++ลงโทษจำเลยมิได้++ที่โจทก์จะให้ผู้ชำนาญตรวจแยกธาตุของกลางจำเลยควรมีโอกาศส่งผู้ชำนาญฝ่ายตนไปตรวจการ++ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานมียาอดฝิ่นซึ่งมีมอร์ฟินอันเป็นยาเสพติดให้โทษเจือปนอยู่
ศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลย ๕๐ บาศาลอุทธรณ์แก้ให้ปรับจำเลย ๔ เท่าราคายาของกลางเป็นเงิน ๘๑๒ บาท
จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงและกฎหมายโดยศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาตัดสินว่าในเบื้องต้นต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีพะยานหลักฐานพอแสดงว่ายาของกลางมามอร์ฟินเจือปนอยู่หรือไม่ โจทก์มี ว. ผู้เชี่ยวชาญเบิกความว่าได้ตรวจแยกธาตุยาของกลาง ๑๒ ตลับมีมอร์ฟินเจือปนอยู่จริงโจทก์อ้างแต่เม็ดยาของกลางซึ่งยังไม่ได้แยกธาตุเป็นพะยานต่อศาล ส่วนยาที่ได้แยกธาตแล้วหรือมอร์ฟินซึ่งอ้างว่าได้จากการแยกธาตุโจทก์หาได้อ้างมาเป็นพะยานไม่ ในคดีนี้สิ่งของซึ่งเป็นพะยานวัดถุสำคัญคือยาที่ ว. ได้แยกธาตุแล้ว แต่โจทก์มิได้นำส่งศาลทั้งมิได้ให้จำเลยดูดังที่ประมวลวิธีพิจารณาอาญามาตรา ๒๔๑, ๒๔๒,บัญญัติไว้ มีแต่คำ ว. เบิกความถึงลอย ๆ เท่านั้น อนึ่งเห็นว่าในเรื่องเช่นนี้ถ้าโจทก์จะให้ผู้ชำนาญแยกธาตุของกลางจำเลยควรมีโอกาศส่งผู้ชำนาญฝ่ายจำเลยไปตรวจการแยกธาตุด้วย มิฉะนั้นจำเลยอาจเสียเปรียบมาก จึงเห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีหลักฐานพอแสดงว่าจำเลยมีความผิดดังข้อหา จึงไม่จำต้องวินิจฉัยข้อกฎหมาย พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

Share