คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1112/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นเสมียนตราอำเภอ มิได้รับแต่งตั้งหรือมอบหมายจากนายอำเภอผู้รับผิดชอบในการจำหน่ายพระเครื่องในงานฉลอง25 พุทธศตวรรษ ให้จำเลยมีหน้าที่จำหน่ายหรือรักษาเงินจำหน่ายพระเครื่อง หากจำเลยยักยอกเงินที่จำเลยจำหน่ายพระเครื่องได้ไป การกระทำของจำเลยก็มิใช่เจ้าพนักงานกระทำผิดในตำแหน่งหน้าที่ราชการ จำเลยคงมีความผิดฐานยักยอกธรรมดา ตามมาตรา 352
การที่จำเลยแก้ต้นขั้วใบเสร็จรับเงินที่จำเลยทำขึ้นไว้เป็นส่วนตัวเพื่อแสดงทางได้เงินจากการจำหน่ายพระเครื่องซึ่งจำเลยจำหน่ายไป โดยจำเลยมิได้ออกใบเสร็จรับเงินให้กับผู้มีชื่อในต้นขั้วด้วยนั้น ไม่เป็นการปลอมเอกสาร แต่ถ้าหากจำเลยออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้ซื้อไป แล้วแก้ต้นขั้วใบเสร็จรับเงินให้น้อยลง การกระทำของจำเลยก็เป็นการแก้ต้นขั้วใบเสร็จรับเงินที่แท้จริงเพื่อแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น ทำให้เกิดเสียหายแก่ผู้ซื้อ จำเลยจึงมีผิดฐานปลอมเอกสารตาม มาตรา 264
เอกสารราชการ จะต้องเป็นเอกสารที่เจ้าพนักงานได้ทำขึ้นหรือรับรองในหน้าที่ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(8) บันทึกที่จำเลยเขียนขึ้นไว้ทั้งฉบับและทำขึ้นไว้เป็นส่วนตัว โดยจำเลยมีได้มีหน้าที่ราชการนั้น จึงมิใช่เอกสารราชการ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับราชการตำแหน่งเสมียนตราอำเภอ เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่เก็บเงินจำหน่ายพระเครื่องในงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ส่งคลังจังหวัดเป็นผลประโยชน์ของรัฐตามระเบียบข้อบังคับ จำเลยบังอาจใช้อำนาจตำแหน่งหน้าที่ในทางทุจริต กล่าวคือ

(ก) เมื่อ 20 พฤษภาคม 2500 จำเลยรับมอบพระเครื่อง เงินสดที่ขายได้ กับบัญชีลูกหนี้คิดเป็นจำนวนพระเครื่อง 4,500 องค์ จากนายเฉลี่ย จันทรสุคนธ์ ปลัดอำเภอ และวันที่ 9 มิถุนายน 2500 รับมอบพระเครื่องและเงินที่ขายพระเครื่องคิดเป็นจำนวน 1,000 องค์ จากร้อยตำรวจโทโกศลนุริตานนท์ รวมพระเครื่องที่จำเลยได้รับมอบ 5,500 องค์ จำเลยจำหน่ายพระเครื่องแก่ประชาชนไป 1,474 องค์ เป็นเงิน 14,740 บาท จำเลยส่งเงินที่ขายได้ไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด 6,550 บาท คงเหลือเงินอยู่ที่จำเลย 8,190 บาท จำเลยเบียดบังยักยอกไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย

(ข) เมื่อระหว่าง 20 พฤษภาคม 2500 ถึง 8 เมษายน 2503 จำเลยบังอาจทำเอกสารปลอมขึ้น โดยจำเลยแก้ไขตัวเลขในบันทึกการรับมอบพระเครื่องฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2502 ซึ่งเป็นเอกสารทางราชการ คือแก้เลข 489 เป็น 390 เลข 11 เป็น 110 ฯลฯ และจำเลยบังอาจทำใบเสร็จรับเงินซึ่งใช้ในราชการและเป็นเอกสารราชการปลอมขึ้น 6 ฉบับ จำเลยได้แก้ไขเอกสารที่แท้จริงและปลอมขึ้นทั้งฉบับทั้งนี้ โดยจำเลยทำเพื่อให้ทางราชการอำเภอสุวรรณภูมิหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ร้อยตำรวจโทโกศลนุริตานนท์ทางราชการแผนกมหาดไทย อำเภอสุวรรณภูมิและรัฐ เหตุเกิดที่ตำบลสระคู อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 151, 161, 264, 265 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2502 มาตรา 3, 7, 13 ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 8,190 บาท แก่ทางราชการแผนกมหาดไทย อำเภอสุวรรณภูมิด้วย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลจังหวัดร้อยเอ็ดพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า การจำหน่ายพระเครื่องเป็นหน้าที่ราชการของจำเลย แต่รูปคดียังไม่พอฟังว่าจำเลยรับเงินค่าขายพระเครื่องแก้วยักยอกเงินเสียตามฟ้อง ส่วนข้อหาเรื่องปลอมเอกสารราชการฟังว่า จำเลยปลอมจริงโดยทำในหน้าที่ราชการที่ได้รับมอบหมาย มีผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 265 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ. 2502 มาตรา 13 ลงโทษตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกจำเลย2 ปี ข้อหาอื่นให้ยก

โจทก์ จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทุจริต ยักยอกเงินค่าขายพระเครื่อง 8,190 บาทจริงดังฟ้อง ข้อหาเรื่องปลอมใบเสร็จรับเงินเห็นว่าจำเลยไม่มีความผิดเพราะไม่มีเจตนาจะทำปลอม ส่วนหลักฐานการรับมอบพระเครื่องจากสถานีตำรวจ ฟังว่าจำเลยเป็นคนแก้ไขเพิ่มเติมตัวเลขจำนวนพระเครื่อง เป็นการปลอมเอกสารจริง แต่พยานโจทก์ยังไม่พอฟังว่าจำเลยได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่จำหน่ายพระเครื่องจากนายอำเภอ จำเลยมิได้กระทำลงโดยหน้าที่ทางราชการที่ได้รับแต่งตั้งและมอบหมาย จึงไม่มีผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอก ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่ราชการกระทำทุจริต คงผิดฐานยักยอกธรรมดาตามมาตรา 352 แม้โจทก์จะไม่ได้อ้างบทมาตรานี้มาในฟ้อง แต่ก็ได้บรรยายฟ้องไว้แล้วศาลย่อมลงโทษจำเลยได้ ส่วนเอกสารการรับมอบพระเครื่องที่จำเลยแก้ไขปลอมแปลงนั้น เป็นบันทึกที่จำเลยเขียนขึ้นไว้ทั้งฉบับ จำเลยมิได้มีหน้าที่ในการนั้น จึงเป็นเอกสารธรรมดามิใช่เอกสารราชการจำเลยคงมีผิดตามมาตรา 264 พิพากษาแก้ว่า จำเลยผิดมาตรา 264 กระทงหนึ่ง กับมาตรา 352 อีกกระทงหนึ่ง ลงโทษกระทงละ 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้เงิน 8,190 บาท แก่ราชการแผนกมหาดไทยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษฐานเป็นเจ้าพนักงานยักยอกเงินในตำแหน่งหน้าที่และใช้ตำแหน่งหน้าที่ทุจริตตามมาตรา 147, 151, 157 และขอให้ลงโทษฐานปลอมเอกสารราชการตามฟ้อง เพราะเอกสารการรับมอบพระเครื่องเป็นเอกสารราชการ การที่จำเลยปลอมก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้มีชื่อในใบเสร็จรับเงิน

ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า การจำหน่ายพระเครื่องนี้เป็นเรื่องที่คณะกรรมการจัดสร้างพระเครื่องในงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษสร้างขึ้นแล้วส่งไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดต่าง ๆ ช่วยจัดการจำหน่ายจึงเป็นงานพิเศษไม่มีระเบียบแบบแผนของทางราชการวางไว้แต่ประการใดคงมีแต่ระเบียบว่าด้วยการเบิกจ่ายพระเครื่องตามเอกสาร จ.2 ซึ่งคณะกรรมการจัดสร้างพระเครื่องได้กำหนดขึ้นไว้ และกระทรวงมหาดไทยส่งไปให้จังหวัดต่าง ๆ ถือปฏิบัติ ตามข้อ 2 แห่งระเบียบนี้กำหนดว่าพระเครื่องที่ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งจ่ายให้อำเภอรับไปจำหน่ายนี้อยู่ในความรับผิดชอบของนายอำเภอ ปลัดกิ่งอำเภอ หัวหน้าสถานีตำรวจฯลฯ ไม่ได้ระบุว่าเป็นหน้าที่รับผิดชอบของเสมียนตราอำเภอเลย ตามฟ้องโจทก์กล่าวว่า จำเลยได้รับมอบหมายจากนายอำเภอให้มีหน้าที่จำหน่ายพระเครื่องรายนี้ แต่ทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับมอบหมายจากนายอำเภอให้ทำหน้าที่นี้แทน เหตุที่จำเลยจะเข้าเกี่ยวข้องกับการจำหน่ายพระเครื่องและบัญชีลูกหนี้ให้จำเลย เป็นการมอบหมายเป็นส่วนตัวระหว่างกันเองเท่านั้น พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้รับแต่งตั้งหรือมอบหมายจากนายอำเภอให้มีหน้าที่จำหน่ายหรือรักษาเงินจำหน่ายพระเครื่องนี้ตามฟ้องโจทก์ การกระทำของจำเลยจึงมิใช่เจ้าพนักงานกระทำผิดในตำแหน่งหน้าที่ราชการ คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ชอบด้วยรูปคดีแล้ว

โจทก์ฎีกาข้อต่อไปขอให้ลงโทษจำเลยฐานปลอมใบเสร็จรับเงินตามเอกสารหมาย จ.10 ซึ่งเป็นเอกสารราชการ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจำหน่ายพระเครื่องดังได้วินิจฉัยแล้ว ทั้งไม่มีระเบียบว่าเมื่อรับเงินค่าจำหน่ายพระเครื่องแล้วจะต้องออกใบเสร็จรับเงินด้วย ต้นขั้วใบเสร็จรับเงินจึงไม่ใช่เอกสารราชการ แต่เป็นเอกสารที่จำเลยทำไว้เป็นส่วนตัวเพื่อแสดงทางได้เงินจากการจำหน่ายพระเครื่องซึ่งจำเลยจำหน่ายไปจำเลยมิได้ออกใบเสร็จรับเงินให้กับผู้มีชื่อในต้นขั้วตามที่โจทก์อ้างในฎีกา จำเลยได้ออกใบเสร็จรับเงินให้นายบุญมา จันทศิริเพียงรายเดียวซึ่งจะได้วินิจฉัยในตอนหลัง การกระทำของจำเลยเกี่ยวกับต้นขั้วใบเสร็จรายอื่นจึงไม่เป็นการปลอมหนังสือ เพียงแต่จำเลยทำขึ้นไว้ไม่ตรงกับความจริงเท่านั้น การกระทำของจำเลยเช่นนี้จะอาจเสียหายแก่ผู้ใดก็ตาม ก็ไม่เป็นผิดฐานปลอมหนังสือส่วนรายนายบุญมาซึ่งได้ชำระค่าจำหน่ายพระเครื่องให้จำเลย 130 บาทจำเลยออกใบเสร็จให้ 130 บาท ต่อมาปรากฏว่าจำเลยได้แก้ต้นขั้วใบเสร็จจาก 130 บาท เหลือ 120 บาท การกระทำของจำเลยนี้เป็นการแก้ต้นขั้วใบเสร็จรับเงินที่แท้จริง เพื่อแสดงให้เห็นเป็นอย่างอื่น และก่อให้เกิดความเสียหายแก่นายบุญมาแล้ว การกระทำของจำเลยจึงผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264

โจทก์ฎีกาข้อสุดท้ายว่า บันทึกการรับมอบพระเครื่องตามเอกสารหมาย จ.13 ซึ่งจำเลยปลอมโดยแก้ไขจำนวนพระเครื่องเป็นเอกสารราชการ ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จะเป็นเอกสารราชการนั้นจะต้องเป็นเอกสารที่เจ้าพนักงานได้ทำขึ้น หรือรับรองในหน้าที่ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(8) ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ปรากฏว่าเอกสารดังกล่าวเป็นบันทึกที่จำเลยเขียนขึ้นไว้ทั้งฉบับและจำเลยทำขึ้นไว้เป็นส่วนตัว จำเลยมิได้มีหน้าที่ราชการในการนั้นดังได้วินิจฉัยไว้แล้วข้างต้น ฉะนั้นเอกสารดังกล่าวจึงมิใช่เอกสารราชการที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยคงมีผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 264 ชอบแล้ว

จึงพิพากษาแก้ว่า จำเลยผิดฐานปลอมต้นขั้วใบเสร็จรับเงินตามเอกสารหมาย จ.10 รายนายบุญมา จันทศิริ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 อีกกระทงหนึ่ง ปรากฏว่าการกระทำของจำเลยนี้ต่อเนื่องกับการปลอมบันทึกการรับมอบพระเครื่องตามเอกสาร หมาย จ.13 ซึ่งศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 264 แล้ว ศาลฎีกาอาศัยอำนาจตามมาตรา 91 จึงไม่ลงโทษในความผิดกระทงนี้อีก นอกจากที่แก้นี้แล้วคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share