แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่โดยอ้างเหตุว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาโดยผิดหลง ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีในคดีก่อนเพียง 6 วัน เป็นการยื่นภายในระยะเวลาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 และโจทก์ทั้งเจ็ดยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ขณะนั้นระยะเวลาอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ของจำเลยยังไม่สิ้นสุดลงถือได้ว่า โจทก์ยื่นคำฟ้องคดีนี้ในขณะที่คดีก่อนอยู่ในระหว่างการพิจารณา และเมื่อพิจารณาคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งเจ็ดกล่าวอ้างว่า ที่ดินของจำเลยตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดที่อยู่ติดกันเช่นเดียวกันกับคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีก่อน แม้คำขอบังคับในส่วนที่เกี่ยวกับความกว้างยาวของทางพิพาทแตกต่างกัน แต่ก็เป็นการขอให้รับรองว่าทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดเช่นเดียวกัน คำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีนี้กับคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีก่อนจึงเป็นคำฟ้องเรื่องเดียวกัน และการพิจารณาว่าคำฟ้องคดีหลังเป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อนหรือไม่ ต้องพิจารณาในวันยื่นคำฟ้องคดีหลังเป็นสำคัญ เมื่อปรากฏว่าขณะที่โจทก์ทั้งเจ็ดยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ คดีก่อนอยู่ระหว่างการพิจารณา คำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีก่อน แม้ต่อมาศาลฎีกาในคดีก่อนจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะเหตุฎีกาของจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรแก่การพิจารณา ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง ก็หาทำให้คำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีนี้ซึ่งเป็นฟ้องซ้อนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลับเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายไม่
ย่อยาว
โจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้พิพากษาว่า ทางพิพาทกว้าง 8 เมตร ยาว 80 เมตร บนที่ดินโฉนดเลขที่ 39441 ตำบลศรีษะทอง อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ของจำเลย ตกเป็นภาระจำยอมเรื่องทางเดิน ทางรถยนต์และเสาไฟฟ้าแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด และให้จำเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอม หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยยื่นคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ว่า คำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดเป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 229/2556 ของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) หรือไม่
โจทก์ทั้งเจ็ดยื่นคำคัดค้านว่า ฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีก่อนไม่เป็นฟ้องซ้อนกับในคดีนี้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดเป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ 1191/2555 หมายเลขแดงที่ 229/2556 ของศาลชั้นต้น พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งเจ็ดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งเจ็ดฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งเจ็ดว่า คำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 229/2556 ของศาลชั้นต้น หรือไม่ ปัญหาดังกล่าวข้อเท็จจริงฟังได้ว่า คดีก่อนโจทก์ทั้งเจ็ดฟ้องจำเลยต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2555 โดยกล่าวในคำฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 39441 ตำบลศรีษะทอง อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินโฉนดเลขที่ 70941 ของโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ดินโฉนดเลขที่ 10418 ของโจทก์ที่ 4 ถึงที่ 7 โจทก์ทั้งเจ็ดใช้ทางพิพาทที่ดินโฉนดเลขที่ 39441 กว้าง 3 เมตร ยาวประมาณ 30 เมตร เป็นทางสัญจร และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคติดตั้งเสาไฟฟ้าและอุปกรณ์บนที่ดินดังกล่าวเพื่อจ่าย กระแสไฟฟ้าให้โจทก์ทั้งเจ็ดเป็นเวลานานกว่า 20 ปี เส้นทางดังกล่าวจึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดโดยอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1401 แต่ปัจจุบันจำเลยพยายามกีดกันไม่ให้โจทก์ทั้งเจ็ดใช้ประโยชน์ในที่ดินภาระจำยอมดังกล่าว ขอให้พิพากษาว่าทางพิพาทกว้าง 3 เมตร ยาวประมาณ 30 เมตร บนที่ดินโฉนดเลขที่ 39441 ตำบลศรีษะทอง อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ของจำเลย ตกเป็นภาระจำยอม เรื่องทางสัญจรแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ด และให้จำเลยไปจดทะเบียนภาระจำยอม ต่อมาวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2556 โจทก์ทั้งเจ็ดยื่นคำร้องขอถอนฟ้องทนายจำเลยแถลงไม่คัดค้าน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ทั้งเจ็ดถอนฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ แต่เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2556 จำเลยยื่นคำร้องขอถอนทนายความพร้อมกับยื่นคำร้องว่า จำเลยไม่ได้ระบุในใบแต่งทนายให้ทนายจำเลยคนก่อนมีอำนาจจำหน่ายสิทธิของจำเลย การที่ทนายจำเลยแถลงไม่คัดค้านคำร้องขอถอนฟ้องเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจ เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีไปโดยผิดหลง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบมาตรา 175 ขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ วันเดียวกันศาลชั้นต้นตรวจคำร้องแล้วมีคำสั่งยกคำร้อง ต่อมาวันที่ 14 มีนาคม 2556 โจทก์ทั้งเจ็ดยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ วันที่ 21 มีนาคม 2556 จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนที่ยกคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำพิพากษายืน จำเลยยื่นฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2556 ศาลฎีกามีคำสั่งในคดีก่อนว่า ฎีกาของจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรแก่การพิจารณา ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง ตามคำสั่งศาลฎีกาลงวันที่ 4 มิถุนายน 2557 เห็นว่า จำเลยยื่นคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่โดยอ้างเหตุว่าศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาโดยผิดหลง ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและจำหน่ายคดีในคดีก่อนเพียง 6 วัน เป็นการยื่นภายในระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 และโจทก์ทั้งเจ็ดยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2556 ขณะนั้นระยะเวลาอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอให้ยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ของจำเลยยังไม่สิ้นสุดลงถือได้ว่า โจทก์ยื่นคำฟ้องคดีนี้ ในขณะที่คดีก่อนอยู่ในระหว่างการพิจารณา และเมื่อพิจารณาคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ทั้งเจ็ดกล่าวอ้างว่า ที่ดินของจำเลยตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดที่อยู่ติดกันเช่นเดียวกันกับคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีก่อน แม้คำขอบังคับในส่วนที่เกี่ยวกับความกว้างยาวของทางพิพาทแตกต่างกัน แต่ก็เป็นการขอให้รับรองว่าทางพิพาทตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งเจ็ดเช่นเดียวกัน คำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีนี้กับคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีก่อนจึงเป็นคำฟ้องเรื่องเดียวกัน และการพิจารณาว่าคำฟ้องคดีหลังเป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อนหรือไม่ ต้องพิจารณาในวันยื่นคำฟ้องคดีหลังเป็นสำคัญ เมื่อปรากฏว่าขณะที่โจทก์ทั้งเจ็ดยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ คดีก่อนอยู่ระหว่างการพิจารณา คำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อนกับคำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีก่อน แม้ต่อมาศาลฎีกาในคดีก่อนจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีเพราะเหตุฎีกาของจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรแก่การพิจารณา ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง ก็หาทำให้คำฟ้องของโจทก์ทั้งเจ็ดในคดีนี้ซึ่งเป็นฟ้องซ้อนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลับเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ทั้งเจ็ดฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ