คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10626/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยทั้งสามชดใช้ค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้งใหม่ มิใช่เป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 ดังนั้นแม้พนักงานอัยการจะมีคำสั่งไม่ฟ้องจำเลยทั้งสามในคดีอาญาดังกล่าว ข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาจึงไม่มีผลบังคับให้ศาลที่พิจารณาในคดีส่วนแพ่งจะต้องรับฟัง แต่ศาลในคดีส่วนแพ่งก็มีอำนาจใช้ดุลพินิจรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวมาประกอบในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานในคดีส่วนแพ่งได้
พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 113 ที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือศาลฎีกามีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้สมัครหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ใดและเป็นเหตุให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ให้ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งใหม่นั้นด้วย” มิใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาดว่า ผู้สมัครที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจะต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งใหม่เสมอไป พยานหลักฐานในคดีนี้ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำการใดๆ ที่ทำให้การเลือกตั้งในเขตที่ 1 จังหวัดบุรีรัมย์ มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่แต่อย่างใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 6,890,401.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 5,997,458.12 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 6,890,401.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 5,997,458.12 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 30 พฤศจิกายน 2553) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 70,000 บาท
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ จำนวน 10,000 บาท
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสามว่า จำเลยทั้งสามต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งใหม่ตามฟ้องให้แก่โจทก์หรือไม่ โดยจำเลยทั้งสามฎีกาข้อกฎหมายว่า คดีในส่วนอาญาพนักงานสอบสวนมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องจำเลยทั้งสามและพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องจำเลยทั้งสามเช่นเดียวกัน เมื่อข้อเท็จจริงในคดีอาญาไม่อาจรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสามกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 53 (1) ประกอบมาตรา 103 ศาลจึงไม่อาจนำข้อเท็จจริงที่มีการนำสืบของโจทก์ในคดีนี้มาเพื่อรับฟังว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิดและต้องชดใช้ค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้งใหม่แต่อย่างใด เห็นว่า การที่โจทก์ฟ้องเรียกให้จำเลยทั้งสามชดใช้ค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้งใหม่ มิใช่เป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ดังนั้นแม้พนักงานอัยการจะมีคำสั่งไม่ฟ้องจำเลยทั้งสามในคดีอาญาดังกล่าว ข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาจึงไม่มีผลบังคับให้ศาลที่พิจารณาในคดีส่วนแพ่งจะต้องรับฟัง แต่ศาลในคดีส่วนแพ่งก็มีอำนาจใช้ดุลพินิจรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวมาประกอบในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานในคดีส่วนแพ่งได้ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการต่อไปว่า จำเลยทั้งสามต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายในการจัดการเลือกตั้งใหม่หรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2550 มาตรา 113 ที่บัญญัติว่า “ในกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้งหรือศาลฎีกามีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้สมัครหรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ใดและเป็นเหตุให้ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ให้ผู้ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งใหม่นั้นด้วย” มิใช่ข้อสันนิษฐานเด็ดขาดว่า ผู้สมัครที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งจะต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายสำหรับการเลือกตั้งใหม่เสมอไป คดีนี้พยานที่โจทก์อ้างว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการรับแจกเงิน 4 คน คือ นายหนูไกร นายสวง นายจรูญ และนายหนูรักษ์ แต่โจทก์คงนำนายหนูไกรและนายจรูญ มาเบิกความเป็นพยานโดยพยานทั้งสองเบิกความยืนยันว่าได้ไปฟังคำปราศรัยหาเสียงของจำเลยทั้งสามจริง ส่วนในการแจกเงินนายหนูไกรเบิกความว่า นายกองพันธ์เป็นคนนำเงิน 2000 บาท มาให้นายหนูไกรที่บ้าน จากนั้นนายหนูไกร นำไปมอบให้นายจรูญ 300 บาท นายสวง 400 บาท และนายหนูรักษ์ 300 บาท ส่วนนายหนูไกรได้เงิน 1,000 บาท ในส่วนที่เหลือ แม้นายหนูไกรและนายจรูญจะอ้างว่าได้ไปให้ปากคำดังกล่าวต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดบุรีรัมย์ แต่นายหนูไกรและนายจรูญเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านยอมรับว่า นายหนูไกร นายจรูญ นายสวง และนายหนูรักษ์ เป็นผู้สนับสนุนและช่วยเหลือนายหนูแดง ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เขตเลือกตั้งที่ 1 หมายเลข 11 พรรคเพื่อแผ่นดิน ซึ่งเป็นคู่แข่งของจำเลยทั้งสามในการเลือกตั้งครั้งนี้ ในการเป็นหัวคะแนนให้แก่ฝ่ายใดบุคคลในท้องถิ่นนั้นๆ ย่อมทราบดี ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอันใดที่นายกองพันธ์ที่โจทก์อ้างว่าเป็นหัวคะแนนของจำเลยที่ 3 จะนำเงินซื้อเสียงไปแจกให้หัวคะแนนของคู่แข่งฝ่ายตรงข้าม ซึ่งนอกจากจะไม่บรรลุผลแล้วยังมีความผิดตามกฎหมายด้วย นอกจากนี้ นายสวงและนายหนูรักษ์พยานที่โจทก์กล่าวอ้างดังกล่าว กลับมาเบิกความเป็นพยานให้จำเลยทั้งสามว่า พยานทั้งสองไม่เคยไปฟังคำปราศรัยของจำเลยทั้งสาม และไม่เคยได้สินบนแจกเงินจากนายหนูไกรแต่อย่างใด พยานหลักฐานในคดีนี้ยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำการใดๆ ที่ทำให้การเลือกตั้งในเขตที่ 1 จังหวัดบุรีรัมย์ มิได้เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในการจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่แต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share