แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จะนำบทบัญญัติของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม.47(3)มาใช้ก็แต่ในกรณีที่ศาลมีความสงสัยในความแท้จริงของใบมอบอำนาจ จึงจะต้องจัดให้มีการปฏิบัติตาม ม.47(3) ถ้าใบมอบอำนาจใดศาลเชื่อแล้วก็ไม่ต้องนำ ม.47(3)มาใช้และ ม.47(3) นี้ไม่ใช่บทบัญญัติที่บัญญัติถึงแบบของใบมอบอำนาจอย่างใดด้วย
ย่อยาว
เดิมตัวโจทก์อยู่ที่เมืองเมกกะประเทศอารเบีย ได้มอบอำนาจให้นายหะยีอีน ฮาชาไนน์ ฟ้องจำเลยเป็นคดีเรื่องนี้ และชนะถึงที่สุดแล้ว ชั้นบังคับคดีนายหะยีอีน ฮาชาไนน์ ถึงแก่ความตายโจทก์จึงทำหนังสือมอบอำนาจให้นายสันต์ ฮาซาไนน์ ดำเนินการแทนสืบไป แต่จำเลยโต้แย้งคัดค้านว่าหนังสือมอบอำนาจฉบับนี้ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 47 เพราะไม่มีพยานตามที่ระบุไว้ คือเจ้าพนักงานโนตารีปับลิค หรือแมยิสเตร็ดหรือบุคคลอื่นซึ่งกฎหมายแห่งท้องถิ่นตั้งให้เป็นผู้มีอำนาจเป็นพยาน และไม่มีใบสำคัญของรัฐบาลต่างประเทศที่เกี่ยวข้องแสดงว่าบุคคลที่เป็นพยานนั้นเป็นผู้มีอำนาจกระทำการได้ และจำเลยไม่รับรองว่านายเอกชัยรักติประกรเป็นกงศุลรักษาการแทนกงศุลใหญ่ หนังสือมอบอำนาจฉบับนี้จึงไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย ไม่ควรอนุญาตให้นายสันต์ ฮาซาไนน์ดำเนินคดีแทนโจทก์
ศาลชั้นต้นเห็นว่าหนังสือมอบอำนาจสมบูรณ์ จึงสั่งอนุญาตให้นายสันต์ ฮาซาไนน์เป็นผู้รับมอบอำนาจได้
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าหนังสือมอบอำนาจฉบับนี้บรรยายข้อความเกี่ยวพันถึงคดีชัดเจน นายอิสมาแอล อับดุลลาห์ราปี ได้เซ็นเป็นพยานและให้คำยินยอมต่อท้ายลายเซ็นมอบอำนาจของโจทก์ มีพยานเซ็นรับรอง 2 คน และนายเอกชัย รักติประกร กงศุลรักษาการในตำแหน่งกงศุลใหญ่รับรองลายเซ็นชื่อของโจทก์มาด้วย เป็นที่แน่ถนัดไม่มีข้อน่าสงสัยเลย
สำหรับกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 47 วรรค 3 นั้นมิใช่เป็นบทบัญญัติในเรื่องแบบของหนังสือมอบอำนาจ ศาลจะบังคับตาม มาตรา 47(3) นี้ต่อเมื่อมีเหตุอันควรสงสัยว่าจะไม่ใช่หนังสือมอบอำนาจอันแท้จริงเท่านั้น สำหรับหนังสือมอบอำนาจนี้กงศุลไทยเซ็นรับรองแล้ว เป็นหลักฐานพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องเกี่ยวข้องถึงโนตารี่ปับลิคหรือแมยิสเตร็ด หรือใบสำคัญของรัฐบาลต่างประเทศอย่างใดอีก จึงพิพากษายืน