คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

นักเรียนจ่าในสถานศึกษาของกองทัพเรือซึ่งทำสัญญาไว้ว่าเมื่อเรียนสำเร็จ จะต้องรับราชการในสังกัดกองทัพเรือไม่น้อยกว่า 5 ปี มิฉะนั้นต้องเสียค่าตอบแทน แม้การที่รับราชการไม่ครบ เป็นเพราะทางราชการสั่งปลด เนื่องจากกระทำผิดวินัยย่อมถือว่าผู้นั้นกระทำตนเองให้ไม่อาจรับราชการต่อไปได้ จึงต้องใช้ค่าตอบแทนตามสัญญา กรณีเช่นนี้ถือไม่ได้ว่ากองทัพเรือบอกเลิกสัญญาหรือบอกปัดการชำระหนี้ของลูกหนี้
เมื่อไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ไปอยู่แห่งใดในพระราชอาณาเขตเจ้าหนี้ย่อมทวงให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้
คดีฟ้องเรียกเงินค่าตอบแทนในการที่นักเรียนจ่ามิได้รับราชการให้ครบกำหนดตามสัญญา ไม่อยู่ในอายุความ 2 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(11),(12),(13)
กองทัพเรือมีหน้าที่เตรียมกำลังกองทัพเรือและป้องกันราชอาณาจักร การจัดตั้งสถานศึกษาฝึกคนเตรียมกำลังไว้ย่อมเป็นหน้าที่ การที่กองทัพเรือทำสัญญาผูกมัดบุคคลที่เข้าศึกษาอบรมให้รับราชการในสังกัดตามระยะเวลาที่กำหนด มิฉะนั้นต้องเสียค่าตอบแทน ทั้งนี้ เพื่อป้องกันความเสียหายย่อมอยู่ในอำนาจของกองทัพเรือ หาเป็นการนอกขอบเขตแห่งวัตถุที่ประสงค์ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายเชาวศักดิ์ ผลเกิด ทำสัญญาต่อโจทก์ว่าเมื่อเรียนสำเร็จจากสถานศึกษาของโจทก์แล้วต้องรับราชการในสังกัดของโจทก์ไม่น้อยกว่า 5 ปี ถ้าไม่ครบ ต้องใช้ค่าตอบแทนเดือนละ 100 บาทของระยะเวลาที่ขาด จำเลยทำสัญญาค้ำประกัน นายเชาวศักดิ์เรียนสำเร็จ และรับราชการมียศจ่าโทได้เพียง 6 เดือน 17 วัน ก็ถูกทางราชการปลดออกฐานใช้กิริยาวาจาไม่สมควรต่อผู้บังคับบัญชาจะต้องให้เงินค่าตอบแทนตามสัญญาแก่โจทก์ 5,343 บาท 35 สตางค์โจทก์แจ้งให้จ่าโทเชาวศักดิ์ทราบแล้ว แต่ขณะนี้ไม่ทราบว่าจ่าโทเชาวศักดิ์ไปอยู่ ณ ที่ใดในพระราชอาณาจักร โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยชำระ จำเลยปฏิเสธจึงขอให้บังคับ

จำเลยต่อสู้ว่า จ่าโทเชาวศักดิ์ ไม่ได้ผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาหรือบอกปัดการชำระหนี้โดยปลดออกเอง เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตคำสั่งปลดไม่ชอบ โจทก์ไม่ได้พยายามทวงถามจ่าโทเชาวศักดิ์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คดีขาดอายุความ

คู่ความรับกันว่า เอกสาร จ.1-2 เป็นสัญญาที่จ่าโทเชาวศักดิ์และจำเลยทำไว้กับโจทก์จริง

ศาลชั้นต้นงดสืบพยาน แล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ตามฟ้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาว่า

1. จำเลยไม่ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเพราะจ่าโทเชาวศักดิ์ไม่ได้ทำผิดสัญญาในการรับราชการไม่ครบ แต่โจทก์สั่งปลดออกเองอันเป็นการบอกเลิกสัญญาหรือบอกปัดชำระหนี้ และเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต

2. โจทก์ยังไม่ได้ทวงถามจากจ่าโทเชาวศักดิ์ โจทก์ยังไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้

3. ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ เพราะฟ้องเกิน 2 ปี

4. ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานนอกสำนวน

5. สัญญาที่โจทก์ทำกับจ่าโทเชาวศักดิ์ไม่มีอำนาจทำได้ และอยู่นอกขอบเขตวัตถุที่ประสงค์ของโจทก์ ไม่มีผลผูกพัน

ศาลฎีกาวินิจฉัยฎีกาข้อ 1 ว่า แม้กรณีจะเป็นเรื่องที่ทางราชการสั่งปลดจ่าโทเชาวศักดิ์ออกจากประจำการก็ดี แต่ในการที่จ่าโทเชาวศักดิ์จะต้องรับราชการให้ครบกำหนดตามที่ได้สัญญาไว้จ่าโทเชาวศักดิ์ ย่อมรู้อยู่ดีว่าจะต้องประพฤติและปฏิบัติตนตามระเบียบวินัยของทางราชการ การที่จ่าโทเชาวศักดิ์กระทำผิดวินัยจนถึงกับทางราชการสั่งปลดออกเช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าจ่าโทเชาวศักดิ์กระทำตนเองให้ไม่อาจจะรับราชการต่อไปได้ หรือนัยหนึ่งเป็นการฝ่าฝืนข้อตกลงที่ทำไว้ ทั้งมิใช่เป็นกรณีที่ได้รับความกรุณาจากทางราชการตามสัญญาด้วย จ่าโทเชาวศักดิ์จึงต้องใช้เงินค่าตอบแทนตามสัญญา และจำเลยผู้ค้ำประกันต้องรับผิด กรณีเช่นนี้ถือไม่ได้ว่าเป็นการที่โจทก์บอกเลิกสัญญาหรือบอกปัดการชำระหนี้ของลูกหนี้ และข้อเท็จจริงตามที่รับกัน ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้กระทำการอันใดที่ทำให้เห็นว่าเป็นการไม่สุจริต

ฎีกาข้อ 2 ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงตามที่โจทก์และจำเลยรับว่าในขณะที่ฟ้อง ไม่ปรากฏว่าลูกหนี้ไปอยู่แห่งใดในพระราชอาณาเขตโจทก์จึงมีสิทธิทวงให้จำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันชำระหนี้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 688

ฎีกาข้อ 3 ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าตอบแทนในการที่จ่าโทเชาวศักดิ์มิได้รับราชการให้ครบกำหนดตามสัญญา มิได้เรียกร้องเอาเงินค่าสอนค่าฝึกสอน หรือค่าศึกษาดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(11), (12), (13) อันมีอายุความ 2 ปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ

ฎีกาข้อ 4 ศาลฎีกาเห็นว่า แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้อง มิได้วินิจฉัยตามต้นฉบับ แต่สำเนาและต้นฉบับเอกสารก็คงมีข้อความตรงกันเกือบทั้งหมดแตกต่างกันเพียงส่วนน้อย ไม่มีสารอันควรฟังว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานนอกสำนวน

ฎีกาข้อสุดท้าย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2503 ซึ่งบัญญัติให้กองทัพเรือเป็นนิติบุคคลนั้น มีบัญญัติไว้ในมาตรา 15 ว่า “กองทัพเรือมีหน้าที่เตรียมกำลังกองทัพเรือและป้องกันราชอาณาจักร ฯลฯ” การจัดตั้งสถานศึกษาฝึกคนเตรียมกำลังไว้ย่อมเป็นหน้าที่ของโจทก์ เมื่อโจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการให้การศึกษาฝึกอบรม หากคนที่ได้รับการศึกษาไม่ปฏิบัติราชการให้โจทก์ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหายไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ให้ลุล่วงไปด้วยดีได้ ดังนั้นการที่โจทก์ทำสัญญาไว้กับจ่าโทเชาวศักดิ์ ซึ่งได้รับการศึกษาอบรมจากสถานศึกษาของโจทก์ ให้จำต้องรับราชการอยู่ในสังกัดของโจทก์จนครบกำหนด 5 ปี และมีข้อผูกมัดว่า หากรับราชการไม่ครบกำหนด จ่าโทเชาวศักดิ์จะต้องใช้เงินค่าตอบแทนแก่โจทก์เพื่อป้องกันความเสียหายของโจทก์นั้น ย่อมเห็นได้ว่า อยู่ในอำนาจของโจทก์ที่จะทำได้ตามกฎหมาย หาเป็นการนอกขอบเขตแห่งวัตถุที่ประสงค์ไม่

พิพากษายืน

Share