แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ลูกหนี้จำต้องคืนที่ดินให้เจ้าของไปโดยรับจะปราณีประนอมยอมความเพราะลูกหนี้ได้ที่ดินมาโดยการไปแจ้งเท็จต่อ เจ้าพนักงานหอทะเบียนที่ดินนั้น หาใช่เป็นกรณีที่ลูกหนี้ให้โดยเสน่หาไม่ เจ้าหนี้จะเพิกถอนการฉ้อฉลโดยอ้างว่าเพียงแต่ลูกหนี้รู้ถึงการเสียเปรียบฝ่ายเดียวก็พอแล้วเท่านั้นไม่ได้
ย่อยาว
ได้ความว่า จำเลยที่ ๑ ไปแจ้งเท็จต่อหอทะเบียนที่ดินขอรับมฤดกนาพิพาทในนามจำเลยที่ ๑ ทั้งหมด แล้วนำมาจำนองนายประยงค์และทำสัญญาแบ่งขายให้โจทก์ ๖๐ ไร่ได้รับเงินหมดแล้ว ต่อมาผิดนัดโจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ ๑ ขอให้โอนที่ดินรายนี้ ความจริงนาพิพาทเป็นของ ด.ช.สนั่น ๖๔ ไร่เศษ ของ ด.ช.ไพรัชบุตรจำเลยที่ ๑, ๕๐ ไร่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ในฐานะผู้จัดการมฤดกผู้ปกครอง และผู้แทนโดยชอบธรรมของ ด.ช.สนั่น จึงฟ้องจำเลย ขอให้ทำลายนิติกรรมที่จำเลยที่ ๑ รับมฤดกรายนี้และหาว่าแจ้งความเท็จเป็นคดีอาญา ในที่สุดจำเลยที่ ๑ ยอมถอนชื่อออกจากโฉนด ให้กลับมาสู่ฐานะเดิม คดีอาญาก็ย่อมเลิกกันไปส่วนคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๑ นั้น ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ แบ่งขายตามสัญยา และได้มีการอายัติที่นารายนี้ไว้ด้วย ต่อมาศาลชั้นต้นได้สั่งให้ถอนการอายัติของโจทก์โดยเห็นว่าโจทก์เพิ่งได้สิทธิตามคำพิพากษา ภายหลังคำพิพากษาท้ายยอมในคดีที่จำเลยที่ ๒ ฟ้องจำเลยที่ ๑ สู้สิทธิของจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ขอให้เพิกถอนสัญญาปราณี ประนอมยอมความ พร้อมทั้งคำพิพากษาและคำบังคับในคดีที่จำเลยที่ ๒ ฟ้องจำเลยที่ ๑ นั้นเสีย โดยอ้างว่าจำเลยสมคบกันฉ้อฉลโจทก์
ศาลชั้นต้นตัดสินให้โจทก์ชนะคดี
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกาอ้างมาตรา ๒๓๗ แห่ง ป.ม.แพ่งฯ
ศาลฎีกาเห็นว่า ป.ม.แพ่งฯมาตรา ๒๓๗ ที่โจทก์อ้างมาเพื่อให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑ รู้ถึงการเสียเปรียบฝ่ายเดียวก็พอแล้วนั้นต้องเป็นเรื่องที่ทำให้โดยเสน่หา แต่คดีนี้เป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๑ จำต้องคืนให้ตามสัญญาปราณีประนอมยอมความเพราะตนได้มาโดยการไปแจ้งเท็จต่อเจ้าพนักงานหอทะเบียนที่ดิน หาใช่กรณีที่จำเลยที่ ๑ ให้โดยเสน่หาไม่ กฎหมายบทนี้จึงไม่มีประโยชน์แก่โจทก์จึงต้องพิพากษายืน