แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2552 อ้างว่าทนายจำเลยหลงผิดว่าได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลก่อนวันที่ 30 กันยายน 2552 อันเป็นวันครบกำหนดยื่นอุทธรณ์ และเข้าใจผิดว่าวันครบกำหนดยื่นอุทธรณ์เป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2552 คำร้องดังกล่าวนั้นมิใช่เป็นการขอขยายระยะเวลาโดยอ้างว่ามีเหตุสุดวิสัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 แต่เป็นการขออนุญาตให้ศาลชั้นต้นใช้อำนาจทั่วไปตามกฎหมาย จึงเป็นดุลพินิจที่ศาลชั้นต้นจะพิจารณา เมื่อศาลชั้นต้นเห็นควรให้โอกาสจำเลยและอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2552 จึงชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 80, 83, 91, 288, 289 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 (4), ประกอบมาตรา 80, 83 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำคุกตลอดชีวิต ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 6 เดือน ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำคุก 33 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 8 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 4 เดือน รวมจำคุก 33 ปี 16 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่า จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ภายหลังจากที่กำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ได้สิ้นสุดลงแล้ว อีกทั้งเหตุที่จำเลยยกขึ้นอ้างเป็นความบกพร่องของทนายจำเลยเอง กรณีไม่ใช่เหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งขยายระยะเวลาอุทธรณ์ของจำเลยออกไปจนถึง วันที่ 15 ตุลาคม 2552 จำเลยจึงยื่นอุทธรณ์เกินกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้รับอุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่ชอบ พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ทนายจำเลยยื่นคำร้องและคำร้องไต่สวนขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ตาม คำร้องฉบับลงวันที่ 1 ตุลาคม 2552 สรุปได้ความว่า ทนายจำเลยหลงผิดไปว่าคดีนี้ทนายจำเลยได้เรียบเรียงอุทธรณ์และยื่นอุทธรณ์ต่อศาลก่อนวันที่ 30 กันยายน 2552 แล้ว วันนี้ทนายจำเลยได้ตรวจสำนวนของทนายจำเลยและของศาล ปรากฏว่ายังมิได้ยื่นอุทธรณ์ในช่วงระยะเวลาที่ทนายจำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ ทนายจำเลยสอบถามเจ้าหน้าที่ศาลซึ่งแจ้งว่าศาลอนุญาต ทนายจำเลยเข้าใจว่าจะครบกำหนดในวันที่ 1 ตุลาคม 2552 ฉะนั้นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและเพื่อให้โอกาสจำเลยต่อสู้คดีอย่างเต็มที่จึงขอโปรดไต่สวนคำร้องและอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาในการยื่นอุทธรณ์ด้วย ดังนี้ จึงมิใช่เป็นการขอขยายระยะเวลาโดยอ้างเหตุว่ามีเหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 แต่เป็นการขออนุญาตให้ศาลชั้นต้นใช้อำนาจทั่วไปตามกฎหมายโดยอ้างความบกพร่องของทนายจำเลยจึงเป็นดุลพินิจที่ศาลชั้นต้นจะพิจารณาเป็นเรื่อง ๆ ไป เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า กรณีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมเห็นควรให้โอกาสจำเลยได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้ถึงวันที่ 15 ตุลาคม 2552 จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นได้ใช้อำนาจทั่วไปที่มีอยู่อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาอุทธรณ์และจะอนุญาตขยายให้เท่าใดก็ได้ตามเหตุผลที่เห็นสมควร การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาอุทธรณ์จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยโดยอ้างว่ายื่นเกินกำหนดนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาและพิพากษาคดีต่อไปตามรูปคดี