คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1024/2494

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตึกแถวอยู่ริมถนนวานิช ซึ่งเรียกกันว่าถนนสำเพ็ง ผู้เช่าจดทะเบียนพาณิชเป็นร้านค้าและเสียภาษีโรงค้า มีป้ายยี่ห้อร้านทำการค้าเครื่องชั่งตวงวัด ศาลไปตรวจสถานที่แล้วเห็นว่าที่ผู้เช่าและครอบครัวอยู่ด้วย ก็อยู่เพื่อทำการค้าดังนี้ ย่อมถือได้ว่า การเช่ามิได้มีวัตถุประสงค์เพื่ออยู่อาศัย จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวเช่าของโจทก์ อ้างว่าจำเลยเช่าเพื่อทำการค้า โดยได้บอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว จำเลยเพิกเฉย
จำเลยต่อสู้ว่า เช่าตึกแถวพิพากอยู่อาศัย และเพิ่งทำการค้าเล็กน้อยในภายหลัง ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ประเด็นเป็นข้อเท็จจริงอยู่ที่ว่า การเช่ารายพิพาทได้มีวัตถุประสงค์เป็นที่เข้าใจกันระหว่างโจทก์จำเลยว่าจำเลยได้ใช้ห้องพิพาทเป็นที่อยุ่อาศัย และทั้งจำเลยได้ใช้ห้องพิพาทเป็นที่อยู่อาศัยโดยจริงจังตามข้อตกลงนั้นหรือไม่ ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยไม่ได้ใช้ห้องพิพาทเป็นที่อยู่เพื่อการค้าของจำเลยเท่านั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่าตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นกล่าวอ้าง แสดงว่าตามนัยของกฎหมายกรณีพิพาทชนิดนี้ต้องดูว่าในเวลาที่สัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยเกิดขึ้นนั้น โจทก์ได้ทราบหรือไม่ว่าจำเลยได้ใช้ห้องพิพาทเป็นที่อยู่อาศัย แต่ศาลฎีกาเห็นว่าคำพิพากษาฎีกาที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นอ้างอิงนั้น มิได้วางแนวแห่งข้อกฎหมายแต่อย่างใดเลยว่า การกินอยู่หลับนอนในสิ่งปลูกสร้างทุกรายจะเป็นการอยู่อาศัยตามความหมายของ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ ฎีกาที่ ๑๗๘/๒๔๙๑ ระหว่างนางเทียนมณี สิริวงศ์ โจทก์ บรีษัทแร่และยางไทยจำกัด จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นอ้างนั้น ก็ได้มีคำพิพากษาฎีกาที่ ๘๒/๒๔๙๔ ระหว่างพระเจ้าวรวงษ์เธอพระองค์เจ้า+จุลฯ โจทก์ ธนาคารแห่งเอเซีย ฯ จำเลย วินิจฉัยทับเสียแล้วว่า การเช่าเพื่อให้คนงานของบริษัท+อยู่อาศัยนั้น เป็นการเช่าเพื่อการค้าของบริษัท ไม่ทำให้สถานที่เช่ากลายเป็นเคหะตามความหมายของ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ ได้ ฎีกาที่ ๖๖๗/๒๔๙๒ ระหว่างนางริ้ว อาจงานหลวง โจทก์, นางปริติ เจริญผล จำเลย ก็วินิจฉัยเพียงแต่ว่า การใช้สิ่งปลูกสร้างเป็นที่อยู่อาศัยโดยความรู้เห็นยินยอมของผู้ให้เช่าหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงที่ย่อมนำสืบได้ จะถือแต่เฉพาะถ้อยคำในสัญญาเช่ามิได้ เป็นเรื่องที่อยู่ในสิ่งปลูกสร้างที่เช่านั้น หาใช่เป็นข้อสันนิษฐานว่าเป็นการใช้เป็นที่อยู่อาศัยเสมอไปไม่
คดีนี้ปรากฎตามท้องสำนวนว่า ห้องพิพาทอยู่ริมถนนวานิช ซึ่งเรียกกันว่าถนนสำเพ็งจำเลยได้จดทะเบียนพาณิชย์เป็นร้านค้า และเสียภาษีโรงค้า มีป้ายยี่ห้อร้านทำการค้าเครื่องชั่งตวงวัด ทั้งการค้าส่งค้าปลีกตลอดมา ศาลชั้นต้นได้ไปตรวจสถานที่แล้วเห็นว่าที่จำเลยและครอบครัวอยู่ด้วยก็+เพื่อค้า ศาลฎีกาจึงเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นชี้ขาดว่าการเช่านี้มิได้มีวัตถุประสงค์เพื่ออยู่อาศัย และจำเลยก็มิได้อยู่อาศัยตามความหมายของ พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯ เป็นคำวินิจฉัยที่ชอบด้วยพยานหลักฐานในท้องสำนวนแล้ว ไม่ผิดต่อกฎหมาย คำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นศาลฎีกา
จึงพิพากษากลับ ให้บังคัลคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share