แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ศาลชั้นต้นฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันแต่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะและจำเลยไม่มีเจตนาฆ่า พิพากษากลับว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 290,72 ดังนี้ ศาลล่างทั้งสองต่างยกฟ้องในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยอาศัยข้อเท็จจริง ฎีกาของโจทก์ที่ว่าพยานหลักฐานฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายขอให้ลงโทษตามฟ้องนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288, 93 ขอให้เพิ่มโทษและนับโทษต่อจากโทษในคดีอาญาอื่น ริบของกลางจำเลยให้การว่าจำเลยป้องกันตัวแต่รับว่าขณะเกิดเหตุจำเลยยังรับโทษตามคดีอาญาที่โจทก์ฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนาเพราะบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290, 72 จำคุก 3 ปี เพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 93 กึ่งหนึ่ง เป็นจำคุก 4 ปี 6 เดือนลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก3 ปี นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาที่โจทก์ขอให้นับโทษ ต่อ และริบของกลาง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาว่าพยานหลักฐานคดีนี้ฟังได้ชัดว่าจำเลยใช้เหล็กแหลมแทงผู้ตายโดยเจตนาฆ่าขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ศาลชั้นต้นฟังว่าการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 พิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นการป้องกันแต่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะและจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้อื่นพิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290,72 เห็นว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต่างยกฟ้องในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยอาศัยข้อเท็จจริง ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาของโจทก์