แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ผู้เสียหายถูกพวกของจำเลยใช้มีดฟันข้อมือได้รับอันตรายสาหัส แต่จำเลยเพียงชกต่อยผู้เสียหายเท่านั้น จึงลงโทษเพียงฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ คงมีโจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้ลงโทษฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามฟ้อง ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 จำเลยจะฎีกาว่าไม่ได้เป็นตัวการร่วมกระทำผิด ขอให้ยกฟ้องหาได้ไม่ เพราะมิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ในการร่วมกระทำผิดแม้จำเลยมีเจตนาเพียงชกผู้เสียหายครั้งเดียวที่โหนกแก้ม มิได้มีเจตนาให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส แต่เมื่อพวกของจำเลยคนหนึ่งได้ใช้มีดฟันข้อมือผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส ไม่ว่าจำเลยจะทราบว่าพวกของตนมีมีดหรือไม่ก็ตามจำเลยก็ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการกระทำนั้นด้วย จะถือเป็นเรื่องต่างคนต่างทำไม่ได้ เพราะเป็นผลจากการกระทำของผู้ร่วมกระทำผิดทุกคน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297, 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 จำคุก 3 เดือน และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 จำคุก 6 เดือน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย พวกของจำเลยได้ใช้มีดฟันข้อมือผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสแต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยกับพวกได้วางแผนตระเตรียมอาวุธมาทำร้ายหรือทราบว่าพวกของตนได้เตรียมมีดมาฟันผู้เสียหาย จำเลยเพียงชกต่อยผู้เสียหาย 1 ครั้งเท่านั้น จึงลงโทษจำเลยฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสไม่ได้ คงลงโทษฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 จำเลยไม่ได้อุทธรณ์คัดค้านว่า ไม่ได้ร่วมกระทำผิดคงมีโจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามฟ้อง ข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ฉะนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า จำเลยเป็นตัวการร่วมทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 จำเลยจะฎีกาว่าไม่ได้เป็นตัวการร่วมกระทำผิด ขอให้ยกฟ้อง หาได้ไม่เพราะมิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยจะมีความผิดฐานร่วมทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัสหรือไม่ เห็นว่า ในการร่วมกระทำผิดแม้จำเลยมีเจตนาเพียงชกผู้เสียหายครั้งเดียวที่โหนกแก้มมิได้มีเจตนาให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส แต่เมื่อพวกของจำเลยคนหนึ่งได้ใช้มีดฟันข้อมือผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ไม่ว่าจำเลยจะทราบว่าพวกของตนมีมีดหรือไม่ก็ตามจำเลยก็ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการกระทำนั้นด้วย จะถือเป็นเรื่องต่างคนต่างทำไม่ได้ ถือได้ว่าเป็นผลจากการกระทำของผู้ร่วมกระทำผิดทุกคนด้วย
พิพากษายืน