แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องอ้างว่าที่พิพาทเป็นสินเดิม จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทจะเป็นสืบเดิมของโจทก์หรือไม่จำเลยไม่ทราบเช่นนี้ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ ๆ ต้องนำสืบว่าทรัพย์ที่พิพาทเป็นสินเดิมของโจทก์
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2498)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นภรรยานายทัด ๆ ตายมา ๕ ปีแล้ว ที่ดินรายพิพาทเป็นสินเดิมของโจทก์จำเลยยื่นคำร้องขอรังวัดที่ดินบางส่วนของโจทก์เพื่อออกตราจองโดยอ้างว่านายทัดได้ขายให้แก่จำเลยนายทัดไม่มีอำนาจที่จะเอาที่ดินสินเดิมของโจทก์ไปขายจำเลยไม่เคยเข้าครอบครองที่ดินรายพิพาทเลยตั้งแต่อ้างว่าได้ซื้อไว้ จึงขอให้เพิกถอนการขอออกตราจอง
จำเลยต่อสู้ว่าได้ซื้อที่ดินราายพิพาทจากนายทัดโดยสุจริตเปิดเผยและมีค่าตอบแทนได้จดทะเบียนแล้วย่อมได้กรรมสิทธิ จำเลยได้จ้างนายทัดดูแลรักษาที่พิพาทแทน ที่ดินที่พิพาทนี้จะเป็นสินเดิมของโจทก์หรือไม่จำเลยไม่ทราบ แต่โจทก์นายทัดได้ครอบครองร่วมกันอยู่ในขณะซื้อขาย โจทก์ควรทราบถึงการซื้อขายจำเลยถือว่าโจทก์ได้ยินยอมหรือสละสิทธิ์ให้สามีโจทก์ทำสัญญาซื้อขายได้โดยลำพัง และการซื้อขายเป็นความประสงค์ของโจทก์เอง
ชั้นพิจารณาจำเลยอ้างส่งเอกสารสัญญาซื้อขายคำขอรังวัดรับตราจอง รายงานการรังวัด คำคัดค้านของโจทก์และแผนที่เพื่อออกตราจอง รวม ๕ ฉบับ โจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยาน
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าที่โจทก์อ้างว่าที่พิพาทเป็นสินเดิม โจทก์มีหน้าที่สืบก่อนแต่ไม่สืบ ข้อนี้ต้องตกไป ส่วนการครอบครองโจทก์อ้างว่าจำเลยไม่เคยเข้าครอบครอง จำเลยต่อสู้ว่าได้จ้างสามีโจทก์ดูแลรักษาแทน จึงเป็นการปฏิเสธฟ้องโจทก์อยู่เฉพาะเวลาที่สามีโจทก์ยังมีชีวิตอยู่เมื่อโจทก์ไม่นำสืบ ข้ออ้างของโจทก์ข้อนี้จึงตกไปโจทก์จำเลยรับกันว่านายทัดสามีโจทก์ตายมา ๕ ปีแล้ว และโจทก์กล่าวในฟ้องว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทในฐานเจ้าของมา ๔๐ ปีแล้ว ฉนั้นระหว่างเวลาเมื่อนายทัดนายแล้วนั้น จำเลยไม่ได้ให้การถึง จึงไม่มีประเด็นที่โจทก์จะต้องนำสืบ ต้องฟังว่าโจทก์ครอบครองตลอดมาโจทก์ย่อมได้สิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ.ม. ๑๓๖๗ พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์
โจทก์จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าที่โจทก์อ้างว่าที่พิพาทเป็นสินเดิมนั้นจำเลยไม่ได้ปฏิเสธโดยแจ้งชัดเป็นแต่กล่าวว่าไม่ทราบจึงไม่มีประเด็นต่อสู้ ข้อซื้อขายเมื่อโจทก์ปฏิเสธก็เป็นหน้าที่จำเลยนำสืบ ข้อครอบครองนั้นจำเลยมีหน้าที่นำสืบว่าได้จ้างนายทัดครอบครองแทน จำเลยไม่ได้สืบว่าที่ ๆ ซื้อตรงกับที่ ๆ พิพาทนี้ จึงพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อที่จำเลยให้การว่าทรัพย์รายพิพาทเป็นสินเดิมของโจทก์หรือไม่จำเลยไม่ทราบ โดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่าคำให้การเช่นนี้เป็นคำให้การปฏิเสธ โจทก์ต้องนำสืบ เมื่อโจทก์ไม่สืบก็ต้องสันนิษฐานว่าเป็นสินสมรส แต่ที่จำเลยว่าซื้อที่พิพาทจากนายทัดนั้นจำเลยไม่มีพยานมาแสดงว่าเป็นที่รายเดียวกับที่พิพาท คำให้การและอุทธรณ์ฎีกา จำเลยประกอบกันฟังได้ว่าที่พิพาทอยู่ในความครอบครองของโจทก์ โจทก์จึงได้รับการสันนิษฐานจาก ป.พ.พ.ม. ๑๓๖๗,๑๓๖๘,๑๓๖๙,๑๓๗๐,๑๓๗๒ ส่วนที่จำเลยให้การว่าให้นายทัดดูแลรักษาแทนและโจทก์เป็นภรรยานายทัด จะอ้างอำนาจปกครองปรปักษ์ไม่ได้นั้น จำเลยไม่ได้นำสืบ จำเลยจึงไม่มีสิทธิในที่พิพาทดีกว่าโจทก์ ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน