คำสั่งคำร้องที่ 714/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า รับฎีกาของจำเลยเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายเฉพาะข้อ ก.
จำเลยเห็นว่า การที่จำเลยได้หยิบยกปัญหาในข้อ ก. ข. ซึ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวโยงสืบเนื่องกับข้อ 2 ประการแรก (1) และรวมไปถึงประเด็นในประการที่สองและประการสุดท้ายขึ้นอ้าง เพื่อประกอบข้อต่อสู้ว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ผิดต่อกฎหมายหรือไม่ ประเด็นเหล่านั้นต้องเป็นข้อกฎหมาย จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
โจทก์ฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีมีมูล ให้ประทับฟ้องศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 ลงโทษจำคุก 1 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาบางข้อดังกล่าว (อันดับ 58)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 59)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลล่างลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ที่จำเลยฎีกาข้อ 2(ช) ว่า จำเลยไม่มีหนี้สินส่วนตัวกับโจทก์ จำเลยออกเช็คให้โจทก์เป็นการค้ำประกันหนี้ผู้อื่นซึ่งโจทก์รู้ดีว่าในขณะออกเช็คจำเลยไม่มีความสามารถชำระเงินถือไม่ได้ว่าจำเลยออกเช็คด้วยเจตนาเพื่อชำระหนี้ แม้ว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยก็ไม่มีความผิด และที่จำเลยฎีกาประการที่สองและประการสุดท้ายว่าโจทก์นำดอกเบี้ยเกินอัตราจากมูลหนี้เดิมมาให้จำเลยออกเช็คเป็นจำนวนหนี้ใหม่ และโจทก์แสดงเจตนาลวงให้จำเลยลงลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นการเถียงการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาข้อ 2(ข) และฎีกาข้ออื่นของจำเลยชอบแล้ว ยกคำร้อง

Share