แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์พิพากษาปรับจำเลยยืนตามศาลชั้นต้น ต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยข้อ 2.1 และ 2.2 นั้นฎีกาว่าศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงขัดต่อพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน และรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ปรากฏในสำนวนจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ส่วนฎีกาข้อ 2.3 ฎีกาว่าการกระทำของจำเลยมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรอันเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 40)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ให้ปรับจำเลย 853,933.44 บาท
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 39 แผ่นที่ 2)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 40)
คำสั่ง
ฎีกาข้อ 2.1 และ 2.2 ที่ว่า ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงขัดต่อพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวน และรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ปรากฏในสำนวน จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ศาลฎีกาตรวจสำนวนแล้วเห็นว่า ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงตามที่ได้จากการนำสืบแล้ว ฎีกาทั้งสองข้อจึงเป็นการโต้เถียงการชั่งน้ำหนัก พยานของศาล เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาข้อ 2.3 ว่าการกระทำของจำเลยมีเจตนาเลี่ยงภาษีศุลกากรหรือไม่นั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสามข้อชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง