แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์และพยานจำเลย แล้วพิจารณาใหม่ตามรูปคดีต่อไป ศาลนี้จึงมีคำสั่ง ให้นัดสืบพยานโจทก์ตามคำสั่งของศาลอุทธรณ์ภาค 3 แล้ว คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1)จึงไม่รับฎีกา คืนค่าขึ้นศาลแก่จำเลยทั้งหมด จำเลยเห็นว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 3 มิใช่เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา เพราะเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 3มีคำพิพากษาดังกล่าวแล้ว คดีได้เสร็จสิ้นจากศาลอุทธรณ์ภาค 3ไม่มีกระบวนพิจารณาคดีอีกต่อไปในชั้นอุทธรณ์ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไปด้วย หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทและห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง กับขอให้ศาลบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท เป็นของโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษา ของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยแล้วพิพากษาใหม่ ตามรูปคดีต่อไป จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 50) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 51)
คำสั่ง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าประเด็นข้อสองเป็นปัญหา ข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ส่งมอบการครอบครอง ที่ดินพิพาทให้โจทก์แล้ว แต่จำเลยให้การต่อสู้ว่าไม่เคย สละการครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์ ศาลชั้นต้นจึงต้องทำ การสืบพยานโจทก์จำเลยให้ได้ความจริงเสียก่อน หากได้ความว่า จำเลยสละสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทแล้วเมื่อพ้นกำหนดเวลา ห้ามโอนโจทก์อาจได้สิทธิครอบครองก็ได้ และพิพากษายกคำพิพากษา ศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลย แล้วพิพากษาใหม่ อันเป็นคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(2) ซึ่งจำเลยมีสิทธิฎีกาได้ตามมาตรา 247 ทั้งยังเป็นปัญหาข้อกฎหมายจึงให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป