แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์อุทธรณ์ ศาลภาษีอากรกลางสั่งว่า อุทธรณ์โจทก์ในประเด็นข้อพิพาทข้อ 1 เป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้าม เพราะคดีมีทุนทรัพย์ไม่เกินห้าหมื่นบาท ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 ส่วนอุทธรณ์ข้อกฎหมายเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์เช่นเดียวกัน จึงไม่รับอุทธรณ์โจทก์ ในประเด็นข้อพิพาทข้อ 1 สำหรับอุทธรณ์โจทก์ในประเด็นพิพาทข้อ 2 ศาลยังไม่ได้วินิจฉัยข้อพิพาทดังกล่าว จึงไม่รับคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดแก่โจทก์ โจทก์เห็นว่า อุทธรณ์ที่ว่าประเด็นข้อพิพาทข้อ 1เป็นปัญหาข้อกฎหมาย และในเรื่องอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนส่วนประเด็นข้อพิพาทข้อ 2 โจทก์และจำเลยได้นำสืบกันมาแล้ว จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นหากศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง ก็ชอบจะวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่ 2 พร้อมกันไป โปรดมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 60,61) โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือแจ้งการประเมินและเพิกถอนคำชี้ขาดและให้จำเลยคืนเงินภาษีโรงเรือนและที่ดินจำนวน 88,720 บาทแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว (อันดับ 57) โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 59)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกินห้าหมื่นบาท ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528มาตรา 25 อุทธรณ์ของโจทก์ข้อ 1 ที่ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยใน ปัญหาข้อกฎหมาย จึงเป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ต้องห้าม ตามบทบัญญัติดังกล่าว ส่วนอุทธรณ์ในข้อ 2 ที่ว่าการประเมิน ภาษีโรงเรือนและที่ดินของเจ้าพนักงานจำเลยถูกต้องและ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นการอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงที่ ยังไม่ได้มีการวินิจฉัยในศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์เช่นเดียวกัน ศาลภาษีอากรกลางสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ