แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงไม่รับฎีกาของจำเลย จำเลยเห็นว่า ฎีกาข้อ 2 เป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ควร ได้รับการวินิจฉัยจากศาลฎีกา เพราะศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ หยิบยกพยานแวดล้อมซึ่งเป็นพยานชั้นสองมาลงโทษจำเลย เป็นการไม่ชอบด้วยการรับฟังพยานหลักฐาน ส่วนฎีกาข้อ 3 ที่ว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเป็นตัวการ แต่ทางพิจารณา ได้ความว่าจำเลยเป็นผู้ใช้ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยเป็นตัวการในการกระทำความผิดจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่แน่ชัดว่าโจทก์หรือโจทก์ร่วมลงลายมือชื่อรับสำเนาคำร้องไว้ข้างคำร้อง ระหว่างพิจารณา นายประเสริฐ เสตสุบรรณ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,358,365(2)(3) การกระทำของจำเลยกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 365(2)(3) ซึ่งเป็นบทหนัก ตามมาตรา 90 จำคุกจำเลย 1 ปี ปรับ 10,000 บาท พิเคราะห์ตาม พฤติการณ์แห่งคดีประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำความผิด มาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ตามมาตรา 56 มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358,365(3) ประกอบด้วยมาตรา 362ให้ลงโทษตามมาตรา 365(3) ซึ่งเป็นบทหนักที่สุด นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 101) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 104 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ตามฎีกาข้อ 2 ของจำเลย ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้บุกรุกเข้าไปในตึกแถวของโจทก์ร่วม และทุบทำลายตึกแถวของโจทก์ร่วมเพื่อปรับปรุงใหม่ โดยสั่งการ ให้ผู้รับเหมาเข้าไปดำเนินการ จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่เคยรับ กับโจทก์ร่วมว่าได้ดำเนินการบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ในตึกแถวของโจทก์ร่วม พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วม ไม่เพียงพอที่จะรับฟังว่าจำเลยได้กระทำผิดเป็นฎีกาโต้เถียง ดุลพินิจในการฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงและตามฎีกาข้อ 3 จำเลยฎีกาว่า ชั้นพิจารณา ฟังข้อเท็จจริงได้ว่า จำเลยได้ใช้หรือจ้างวานบุคคลอื่นบุกรุก และทำให้เสียทรัพย์ในตึกแถวของโจทก์ร่วม จำเลย จึงไม่ได้เป็นตัวการตามฟ้อง ศาลลงโทษจำเลยเป็นตัวการไม่ได้ เห็นว่า เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ รับฟังมาว่า จำเลยแต่ผู้เดียวได้บุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ ในตึกแถวของโจทก์ร่วม ไม่ได้ใช้หรือจ้างวานบุคคลอื่น เพราะบุคคลอื่นไม่ทราบเจตนาของจำเลย จึงเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงเช่นกัน ฎีกาของจำเลยข้อ 2 ข้อ 3 จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ให้ยกคำร้อง