แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาข้อ 2เป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามฎีกา ส่วนฎีกาข้อ 3 เป็นฎีกาในข้อกฎหมาย ซึ่งไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยจึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาทั้งฉบับ
จำเลยที่ 2 เห็นว่า ฎีกาข้อ 2 ของจำเลยที่ 2 เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงที่นำสืบมาในศาลชั้นต้น สำหรับฎีกาข้อ 3 ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยที่ 2 ก็ได้ยกขึ้นกันมาแล้วทั้งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 2 ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ ทนายโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 153แผ่นที่ 3)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชำระเงินตามเช็คจำนวน 27,540 บาท ให้โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ 20 พฤษภาคม 2526 ซึ่งเป็นวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายและถือว่าจำเลยผิดนัดจนถึงวันฟ้อง(23 เมษายน 2527) แต่ไม่ให้เกิน 1,918.77 บาท ตามโจทก์ขอและให้ชำระดอกเบี้ยอัตราดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจำเลยจะร่วมกันชำระเงินให้โจทก์เสร็จ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 150)
จำเลยที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 152)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาข้อ 2 ของจำเลยที่ 2 เกี่ยวกับลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ที่ลงไว้หลังเช็คพิพาทนั้น ศาลล่างทั้งสองฟังว่าจำเลยที่ 2 นำเช็คพิพาทไปแลกเงินสดจากโจทก์โดยจำเลยที่ 2 สลักหลังเช็คมอบให้โจทก์ จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 มิได้สลักหลังเช็คพิพาทแลกเงินสดจากโจทก์แต่นายชัยวุฒิเป็นผู้สลักหลังเช็คพิพาทแลกเงินสดจากโจทก์เมื่อเช็คพิพาทขึ้นเงินไม่ได้ โจทก์จึงให้จำเลยที่ 2 ลงชื่อหลังเช็คพิพาท ฎีกาของจำเลยที่ 2 ในข้อนี้จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาข้อนี้ชอบแล้ว ส่วนปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยที่ 2 ฎีกาโต้เถียงมาในข้อ 3 นั้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ข้อกฎหมายนั้นไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาข้อ 3 จึงชอบแล้วเช่นกัน ให้ยกคำร้อง