คำสั่งคำร้องที่ 1784/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามฎีกาของจำเลยฉบับลงวันที่ 20 มิถุนายน 2538 แล้วก็ตาม แต่การที่จำเลยยื่นคำร้องภายในกำหนดอายุฎีกา ขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ผู้พิจารณาคดีดังกล่าวอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โดย ที่ จำเลยมิได้ยื่นฎีกาฉบับใหม่เข้ามาอีก เพราะจำเลยเข้าใจว่าฎีกาฉบับเดิมยังคงใช้ได้อยู่ เพื่อประโยชน์แห่งความเป็นธรรมย่อมอนุโลมได้ว่าจำเลยยอมถือเอาฎีกาฉบับลงวันที่ 20 มิถุนายน 2538 เป็นฎีกาของจำเลยต่อไป ดังนั้นเมื่อผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา ฎีกาของจำเลยฉบับเดิมก็ยังคงมีผลเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอยู่ ชอบที่ศาลชั้นต้นจะตรวจฎีกาฉบับเดิมของจำเลยว่าอาจจะรับส่งขึ้นไปยังศาลฎีกาหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 223

ย่อยาว

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลย ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์ภาค 3รับรอง และผู้พิพากษาดังกล่าวรับรองให้ฎีกาได้ แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าฎีกาฉบับเดิมตกไปแล้ว เมื่อไม่ยื่นใหม่และคดีพ้นระยะเวลาฎีกาจึงไม่มีเหตุจะส่งสำนวนไปศาลฎีกา
จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยและจำเลยได้ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3ที่พิจารณาคดีนี้รับรองฎีกาแล้ว จำเลยไม่ได้ทำฎีกาฉบับใหม่มายื่นต่อศาลเนื่องจากคิดว่าฎีกาฉบับเดิมยังคงใช้ได้อยู่ จำเลยมิได้เจตนาที่จะกระทำความผิดและมีโอกาสชนะคดี เมื่อผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่พิจารณาคดีนี้อนุญาตให้จำเลยฎีกาได้แล้วเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 13 ทวิ,89 จำคุก 5 ปี ของกลางริบ
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า คำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 3 ปี 4 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา (อันดับ 70)
จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ภาค 3 ขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ที่พิจารณาคดีนี้อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 มีคำสั่งว่า พิเคราะห์แล้วเห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด จึงอนุญาตให้ฎีกาได้ ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งให้จำเลยฟังแล้วมีคำสั่งว่าแม้ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะมีคำสั่งรับรองให้จำเลยฎีกาข้อเท็จจริงต่อศาลฎีกาได้ แต่จากการตรวจสอบปรากฏว่า จำเลยไม่ได้ยื่นฎีกาใหม่ซึ่งฎีกาของจำเลยฉบับลงวันที่ 20 มิถุนายน 2538 นั้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยฉบับดังกล่าวแล้ว ฎีกาดังกล่าวจึงตกไปเมื่อจำเลยไม่มีฎีกาใหม่และคดีของจำเลยพ้นระยะเวลาที่จะฎีกาแล้วจึงไม่มีเหตุที่จะส่งสำนวนไปสู่ศาลฎีกาเพื่อให้วินิจฉัยข้อเท็จจริงของจำเลย (อันดับ 82, 83)
จำเลยยื่นคำร้องนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาฉบับนี้เป็นการอุทธรณ์คำสั่งลงวันที่20 มิถุนายน 2538 ล่วงเลยกำหนด 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224 รวบรวมถ้อยคำสำนวนส่งศาลฎีกาเพื่อพิจารณาสั่ง (อันดับ 86)

คำสั่ง
วันที่ 16 เดือนตุลาคม พุทธศักราช 2538
พิจารณาอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยตามอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาฉบับลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2538 แล้วเห็นว่าเป็นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 29 มิถุนายน 2538 หาใช่อุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาที่ศาลชั้นต้นได้สั่งเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2538 ไม่ อุทธรณ์คำสั่งของจำเลยดังกล่าวจึงอยู่ในระยะเวลาอุทธรณ์คือภายใน 15 วันนับแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2538 จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์คำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 224 พิเคราะห์แล้วแม้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามฎีกาของจำเลยฉบับลงวันที่ 20 มิถุนายน 2538 แล้วก็ตาม แต่การที่จำเลยยื่นคำร้องภายในกำหนดอายุฎีกา ขอให้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3ผู้พิจารณาคดีดังกล่าวพิจารณาอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามสำเนาฎีกาที่แนบมาท้ายคำร้อง โดยที่จำเลยมิได้ยื่นฎีกาฉบับใหม่เข้ามาอีก เชื่อว่าจำเลยเข้าใจว่าฎีกาฉบับเดิมที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาแล้วยังคงใช้ได้อยู่ เพื่อประโยชน์แห่งความเป็นธรรมย่อมอนุโลมได้ว่า จำเลยยอมถือเอาฎีกาฉบับลงวันที่20 มิถุนายน 2538 เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงของจำเลยต่อไปดังนั้นเมื่อผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ผู้พิจารณาคดีได้พิจารณาเห็นว่า ข้อความที่ตัดสินเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา ฎีกาของจำเลยฉบับเดิมก็ยังคงมีผลเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอยู่ ชอบที่ศาลชั้นต้นจะตรวจฎีกาฉบับเดิมของจำเลยว่าควรจะรับส่งขึ้นไปยังศาลฎีกาหรือไม่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 223 แล้วดำเนินการต่อไป

Share