แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับฎีกาของจำเลยจำเลยเห็นว่า ศาลชั้นต้นมิได้ให้เหตุผลว่า เหตุใดฎีกาของจำเลยจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(6) และมาตรา 223และฎีกาของจำเลยก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเป็นสาระแก่คดี และเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 16 แผ่นที่ 2)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์พ.ศ. 2522 มาตรา 28,29,30,35,36,57,70,75 ฯลฯประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,91 ฯลฯ ลงโทษตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุนฯ พ.ศ. 2522 มาตรา 75ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดและเป็นคุณแก่ผู้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 110 กระทง รวมจำคุก 110 ปีจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 55 ปี แต่เนื่องจากความผิดทุกกระทงมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 3 ปี ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(1) ให้ลงโทษจำคุกทั้งสิ้นไม่เกิน 10 ปีจึงลงโทษจำคุก 10 ปี ฯลฯ
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 15)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 16 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่รับฎีกาจำเลยว่า ศาลชั้นต้นมิได้ให้เหตุผลไว้ว่าเหตุใดฎีกาจำเลยจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 186(6),223 จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบนั้น เห็นว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ว่า พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218จึงไม่รับฎีกาของจำเลย จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายแล้วไม่จำเป็นต้องให้เหตุผลไว้ว่าเหตุใดจึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จำเลยอุทธรณ์ในข้อที่ว่าฟ้องโจทก์เห็นได้ชัดว่าการกระทำของจำเลยมีเพียงเจตนาเดียวที่ดำเนินกิจการบริษัทเงินทุนเยาวราช จำกัด ด้วยความไม่สามารถ จึงเป็นการขัดต่อกฎหมายต่าง ๆ แม้จะต่างวาระกันก็เป็นการต่อเนื่องกัน ถือได้ว่าเป็นกรรมเดียว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ลงโทษถึง 110 กระทง จึงเป็นการคลาดเคลื่อนก็ดี และในข้อที่ว่าคำขอท้ายฟ้องโจทก์มิได้ขอให้เรียงกระทงลงโทษจำเลย ทั้งมิได้ขอให้นับโทษติดต่อกันไปด้วย ฟ้องจึงไม่สมบูรณ์ถือไม่ได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษทุกกรรม และการกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดเพียงกรรมเดียว ศาลไม่มีอำนาจลงโทษจำเลยหลายกระทงได้และไม่มีอำนาจเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91เป็นฎีกาในข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนขอให้รับฎีกาของจำเลยนั้น ศาลฎีกาได้ตรวจฎีกาของจำเลยแล้วจำเลยฎีกาเพียงว่าศาลชอบที่จะลงโทษจำเลยในสถานเบาที่สุดเพราะจำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ และรอการลงโทษให้จำเลยจึงจะชอบด้วยเหตุผลตามกฎหมายและว่าคำขอท้ายฟ้องโจทก์มิได้ระบุชัดแจ้ง เพียงแต่กล่าวอ้างว่าจำเลยมีความผิดตามกฎหมายและขอให้ลงโทษมาลอย ๆ จำเลยควรได้รับการลงโทษสถานเบาคือเพียงไม่เกิน3 ปี จำเลยรับสารภาพ ควรได้ลดกึ่งหนึ่ง เหลือ 1 ปี 6 เดือนเมื่อโทษไม่เกิน 2 ปี ควรได้รับการรอการลงโทษไว้ก่อนเท่านั้นข้อที่จำเลยยกขึ้นกล่าวในอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวนี้ ล้วนเป็นข้อที่ไม่มีในฟ้องฎีกา เป็นข้อที่จำเลยยกขึ้นมาใหม่ทั้งสิ้นเป็นคนละเรื่องกับที่จำเลยกล่าวในฟ้องฎีกา ศาลฎีกาไม่รับพิจารณาคำสั่งศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง