แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
ไม่มีย่อสั้น
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๔๘/๒๕๕๓
วันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๓
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๒) และ (๔)
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลแรงงานกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๔๗ นางสาวชมพู โปษกะบุตร ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ ๑ มูลนิธิโรงเรียนราชประชาสมาสัย ในพระบรมราชูปถัมถ์ ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๒๐๓/๒๕๔๗ ความว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นครูและครูใหญ่โรงเรียนราชประชาสมาสัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ มีหน้าที่วินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการคุ้มครองการทำงานตามมาตรา ๙๗ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้พิจารณาอุทธรณ์ของผู้รับใบอนุญาตโรงเรียนราชประชาสมาสัยในพระบรมราชูปถัมภ์ กรณีบอกเลิกสัญญาจ้างผู้ฟ้องคดีโดยไม่จ่ายค่าชดเชยว่าได้ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อสัญญาจ้าง โดยดำเนินการตามข้อ ๓๑ และ ๓๒ แห่งระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๔๒ อันเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งผู้ฟ้องคดีเห็นว่าคำวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เนื่องจากระเบียบว่าด้วยการบุคลากรของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ออกมาในภายหลังโดยกำหนดให้บุคลากรที่มีอายุครบ ๖๐ ปีต้องพ้นสภาพการจ้าง และหากเกิน ๖๐ ปีอาจจ้างได้แต่ต้องไม่เกิน ๖๕ ปี ในขณะที่ผู้ฟ้องคดีมีอายุ ๖๘ ปี จึงไม่อาจใช้แก่ผู้ฟ้องคดี เนื่องจากเป็นบุคลากรที่มีอยู่ก่อนระเบียบนี้ และระเบียบดังกล่าวก็ยังไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ จึงไม่มีผลใช้บังคับตามกฎหมาย การบอกเลิกสัญญาจ้างดำเนินการไม่ถูกต้องตามระเบียบของโรงเรียนที่กำหนดไว้ ไม่ถือว่าเป็นการบอกเลิกสัญญาจ้าง ผู้ฟ้องคดีไม่มีหน้าที่หรือรับมอบอำนาจหรือได้รับมอบหมายให้ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องการหักและรวบรวมเงินสมทบร้อยละ ๓ ของครูและผู้ฟ้องคดีส่งเข้ากองทุน เป็นหน้าที่ของผู้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๖๙ ผู้ฟ้องคดีจึงมิได้กระทำการใด ๆ อันเป็นความผิด คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ตามหนังสือที่ ศธ ๐๒๐๙/๗๐๙ ลงวันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๔๗ ในส่วนที่วินิจฉัยว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างผู้ฟ้องคดีตามหนังสือลงวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๔๒ นั้น ถูกต้องตามข้อ ๓๑ และ ๓๒ แห่งระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ และได้มีหนังสือทบทวนการบอกเลิกสัญญาจ้างผู้ฟ้องคดีตามหนังสือลงวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๔๒ โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้การและแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ใช้อำนาจในการพิจารณาอุทธรณ์ตามมาตรา ๙๗ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ ว่าการบอกเลิกจ้างของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ โดยไม่จ่ายเงินค่าชดเชยมีเหตุผลอันสมควรและชอบด้วยระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยชอบแล้ว และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้และไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่ผู้ฟ้องคดีตามข้อ ๓๔ (๑) แห่งระเบียบดังกล่าว
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้การและแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่า ผู้ฟ้องคดีเคยเป็นลูกจ้างของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะบอกเลิกจ้างผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีได้ร้องเรียนต่อคณะกรรมการคุ้มครองการทำงาน คณะกรรมการดังกล่าวมีมติว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ไม่สามารถบอกเลิกจ้างผู้ฟ้องคดีได้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อุทธรณ์ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ มีคำวินิจฉัยว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ สามารถบอกเลิกจ้างผู้ฟ้องคดีได้โดยชอบ และการไม่จ่ายค่าชดเชยให้ ตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการฯ ข้อ ๓๔ (๑) จึงมีเหตุผลสมควรตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด อุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ฟังขึ้น คำวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงชอบด้วยกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีได้ฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ต่อศาลแรงงานกลางในข้อหาเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมและเรียกค่าเสียหาย แต่ได้ถอนฟ้องแล้ว
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า ข้อพิพาทในคดีนี้เป็นคดีแรงงาน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการคุ้มครองการทำงาน และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ วินิจฉัยอุทธรณ์แล้ว คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐย่อมมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของผู้ฟ้องคดี จึงถือเป็นคำสั่งทางปกครอง กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ดังนั้น ศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาเพื่อตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำทางปกครองของเจ้าหน้าที่ของรัฐในกรณีดังกล่าว ย่อมเป็นศาลปกครองตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้ออ้าง ข้อหา และคำขอบังคับของคดีนี้ เป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีมีข้อพิพาทกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ตามสัญญาการเป็นครูซึ่งถือได้ว่าเป็นสัญญาจ้างแรงงานประเภทหนึ่ง และเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ โดยกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ วินิจฉัยไม่ถูกต้องตามข้อ ๓๑ และข้อ ๓๒ แห่งระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยระเบียบข้อดังกล่าวกำหนดเรื่องการเลิกสัญญาการเป็นครูหรือการเลิกจ้าง และเรื่องการจ่ายค่าชดเชยแก่ครูที่ผู้รับใบอนุญาตเลิกสัญญาเป็นครู ซึ่งถือได้ว่าระเบียบดังกล่าวเป็นกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานฉบับหนึ่ง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งมีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการคุ้มครองการทำงานตามมาตรา ๙๗ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ โดยวินิจฉัยอุทธรณ์กรณีพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการดังกล่าวข้างต้น ถือได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน คดีระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสอง จึงมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน และกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และเป็นคดีอุทธรณ์คำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๒) และ (๔) อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานกลาง
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามคำฟ้องคดีนี้ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า มูลนิธิโรงเรียนราชประชาสมาสัย ในพระบรมราชูปถัมถ์ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้ทำสัญญาจ้างผู้ฟ้องคดีให้เป็นครูใหญ่ของโรงเรียนราชประชาสมาสัย ในพระบรมราชูปถัมถ์ ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างโดยจ่ายค่าชดเชยให้ผู้ฟ้องคดี ตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่ผู้ฟ้องคดีไม่ยอมรับการเลิกจ้างและค่าชดเชย กลับร้องเรียนต่อคณะกรรมการคุ้มครองการทำงานตามพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ ในระหว่างนั้นผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ แจ้งทบทวนการบอกเลิกสัญญาจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชย ซึ่งคณะกรรมการคุ้มครองการทำงานมีมติว่าผู้ฟ้องคดีมีสิทธิได้รับเงินเดือนในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ พร้อมทั้งค่าชดเชย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ พิจารณาอุทธรณ์แล้วเห็นว่า การบอกเลิกสัญญาจ้างโดยไม่จ่ายค่าชดเชยชอบด้วยกฎหมาย ตามข้อ ๓๑ และ ๓๒ แห่งระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๔๒ ผู้ฟ้องคดีเห็นว่า คำวินิจฉัยดังกล่าวไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ในส่วนที่วินิจฉัยว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีหนังสือบอกเลิกสัญญาจ้างผู้ฟ้องคดีถูกต้องตามข้อ ๓๑ และ ๓๒ แห่งระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ และได้มีหนังสือทบทวนการบอกเลิกสัญญาจ้าง ผู้ฟ้องคดีตามหนังสือลงวันที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๔๒ โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ให้การว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ใช้อำนาจในการพิจารณาอุทธรณ์ ตามมาตรา ๙๗ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ การกระทำของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมาย และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้การว่า คำวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ชอบด้วยกฎหมาย เห็นว่า มูลความแห่งคดีสืบเนื่องมาจากกรณีที่ผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกัน โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ตกลงรับผู้ฟ้องคดีเข้าทำงานเป็นครูใหญ่และจ่ายค่าจ้างเป็นเงินเดือนให้ผู้ฟ้องคดีตลอดเวลาที่ทำงานให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ นิติสัมพันธ์ระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงมีลักษณะเป็นสัญญาจ้างแรงงานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๕ และเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คำวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ อ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ วินิจฉัยไม่ถูกต้องตามข้อ ๓๑ และข้อ ๓๒ แห่งระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยระเบียบข้อดังกล่าวกำหนดเรื่องการเลิกสัญญาการเป็นครูหรือการเลิกจ้าง และเรื่องการจ่ายค่าชดเชยแก่ครูที่ผู้รับใบอนุญาตเลิกสัญญาเป็นครู ถือได้ว่าระเบียบดังกล่าวเป็นกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานฉบับหนึ่ง และการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งมีอำนาจวินิจฉัยอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการคุ้มครองการทำงานตามมาตรา ๙๗ แห่งพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้วินิจฉัยกรณีพิพาทระหว่างผู้ฟ้องคดีกับผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการคุ้มครองการทำงานของครูใหญ่และครูโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๔๒ ถือได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมาย ว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ดังนั้น ข้อพิพาทในคดีนี้จึงมีลักษณะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวด้วยสิทธิหรือหน้าที่ตามสัญญาจ้างแรงงาน และกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน และเป็นคดีอุทธรณ์คำวินิจฉัยของเจ้าพนักงานตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘ (๑) (๒) และ (๔) อันเป็นคดีแรงงาน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่างนางสาวชมพู โปษกะบุตร ผู้ฟ้องคดี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ ๑ มูลนิธิโรงเรียนราชประชาสมาสัย ในพระบรมราชูปถัมถ์ ที่ ๒ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) สบโชค สุขารมณ์ (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายสบโชค สุขารมณ์) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) จรัญ หัตถกรรม
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายจรัญ หัตถกรรม)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท ศานิต สร้างสมวงษ์ (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(ศานิต สร้างสมวงษ์) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ