แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
ไม่มีย่อสั้น
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๑๘/๒๕๕๐
วันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๐
เรื่อง เขตอำนาจศาลเกี่ยวกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔)
ศาลแพ่ง
ระหว่าง
ศาลปกครองกลาง
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลแพ่งโดยสำนักงานศาลยุติธรรมส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนั้น
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๔๘ กองทัพเรือ โจทก์ยื่นฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัด เครื่องเดินป่า ที่ ๑ นายยอด แสงสว่างวัฒนะ ที่ ๒ จำเลย ต่อศาลแพ่ง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๒๙๗๕/๒๕๔๘ ความว่า เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๐ โจทก์ตกลงซื้อและจำเลยที่ ๑ ตกลงขายร่มบุคคลโดดแบบสายดึงประจำที่แบบเอ็มซี ๑-๑ บี พร้อมร่มช่วยที-๑๐ อาร์ และอุปกรณ์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทไพโอเนียร์ แอโรสเปส คอร์ปอเรชัน (Pioneer Aerospace Corporation) ประเทศสหรัฐอเมริกา จัดจำหน่ายโดยบริษัท Aerazur ประเทศฝรั่งเศส จำนวน ๖๖ ชุด ชุดละ ๗๔,๗๖๕ บาท รวมราคาสินค้า ๔,๙๓๔,๔๙๐ บาท ภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน ๓๔๕,๔๑๔.๓๐ บาท รวมเป็นเงินจำนวน ๕,๒๗๙,๙๐๔.๓๐ บาท โดยมีข้อตกลงว่าจำเลยที่ ๑ จะส่งมอบสิ่งของที่ซื้อขายตามสัญญาให้แก่โจทก์ ณ อาคารตรวจรับพัสดุ กรมสรรพาวุธทหารเรือ แขวงบางนา เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ภายในวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๔๑ เมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญาแล้ว จำเลยที่ ๑ ไม่ยอมส่งมอบสิ่งของดังกล่าวให้แก่โจทก์ โจทก์มีหนังสือเร่งรัดให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติตามสัญญา จำเลยที่ ๑ เพิกเฉย โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา และแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าปรับตามที่ตกลงไว้ในสัญญา จำนวน ๖๔๕,๗๐๘.๑๓ บาท จำเลยที่ ๑ เพิกเฉย จำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ ๑ ไม่จำกัดจำนวน จึงฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์ จำนวน ๑,๐๐๖,๕๐๑.๖๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๖๕๔,๗๐๘.๑๓ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๑ มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะรัฐบาลประกาศเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศเป็นระบบลอยตัวทำให้สินค้าที่ซื้อขายซึ่งตกลงชำระราคาเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐต้องใช้เงินบาท เพิ่มมากขึ้นเกือบหนึ่งเท่าของราคาสินค้าตามสัญญา จำเลยที่ ๑ จึงส่งมอบสินค้าให้แก่โจทก์ไม่ได้และหลุดพ้นจากการชำระหนี้ไม่ต้องรับผิดตามสัญญา โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าปรับ และโจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ไม่เคยรับหนังสือแจ้งหรือบอกกล่าวให้ชำระหนี้ใด ๆ จากโจทก์ จำเลยที่ ๒ ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่เคยผิดนัดชำระหนี้ โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามคำฟ้อง จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวและไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลแพ่งพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๐๓ ที่แก้ไขแล้ว มาตรา ๑๗ และมีหน้าที่เตรียมกำลังกองทัพเรือและป้องกันราชอาณาจักร ตามมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว โจทก์จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง และมีหน้าที่ป้องกันราชอาณาจักร อันเป็นการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ภารกิจนี้ถือว่าเป็นบริการสาธารณะอย่างหนึ่งของรัฐเป็นผู้จัดทำขึ้น โดยโจทก์จะต้องจัดให้มีอาวุธยุทโธปกรณ์และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่จำเป็นสำหรับกิจการของกองทัพเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว ร่มโดดบุคคลแบบสายดึงประจำที่เป็นยุทโธปกรณ์ทางทหารที่มีความจำเป็นสำหรับการฝึกและการรบ ในการส่งกำลังทหารเข้าสู่พื้นที่การรบ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อภารกิจของโจทก์ จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินบริการสาธารณะดังกล่าวให้บรรลุผล เมื่อโจทก์เป็นผู้ทำสัญญาซื้อขายร่มโดดบุคคลแบบ สายดึงประจำที่พิพาทกับจำเลยที่ ๑ สัญญาพิพาทดังกล่าวจึงเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ทั้งนี้ตามนัยคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๒๑/๒๕๔๖
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า โจทก์เป็นส่วนราชการและเป็นนิติบุคคลตามมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๐๓ โจทก์จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ มีหน้าที่จัดทำบริการสาธารณะเตรียมกำลังกองทัพเรือและป้องกันราชอาณาจักร ตามมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๐๓ ซึ่งแม้สัญญาซื้อขายร่มบุคคลโดดแบบสายดึงประจำที่จะมีโจทก์ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองเป็นคู่สัญญาฝ่ายผู้ซื้อ แต่ไม่ปรากฏว่าร่มบุคคลโดดแบบสายดึงประจำที่ที่โจทก์ซื้อจากจำเลยที่ ๑ นั้นเป็นอุปกรณ์สำคัญที่โจทก์ใช้ในการบริการสาธารณะ คงเป็นเพียงอุปกรณ์ส่วนหนึ่งในการให้บริการสาธารณะของโจทก์ สัญญาซื้อขายร่มบุคคลโดดแบบสายดึงประจำที่จึงเป็นเพียงสัญญาที่สนับสนุน การจัดทำบริการสาธารณะเท่านั้น ทั้งสัญญาดังกล่าวก็ไม่มีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ หรือเป็นสัญญาที่หน่วยงานทางปกครองให้จำเลยที่ ๑ เข้าดำเนินการหรือเข้าร่วมดำเนินการบริการสาธารณะโดยตรง หรือเป็นสัญญาที่มีข้อกำหนดในสัญญาซึ่งมีลักษณะพิเศษที่แสดงถึงเอกสิทธิ์ของรัฐ ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินกิจการทางปกครองอันเป็นบริการสาธารณะบรรลุผลแต่อย่างใด ดังนั้น สัญญาซื้อขายร่มบุคคลโดดแบบสายดึงประจำที่จึงมิใช่สัญญาทางปกครอง แต่เป็นสัญญาที่คู่สัญญาทำขึ้นโดยมุ่งผูกพันด้วยใจสมัครบนพื้นฐานแห่งความเท่าเทียมกัน อันเป็นสัญญาทางแพ่งที่หน่วยงานทางปกครองเป็นคู่สัญญาเท่านั้น คดีนี้จึงมิใช่คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองที่จะอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ แต่เป็นคดีที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมหรือศาลปกครอง
คณะกรรมการพิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องคดีนี้สรุปได้ว่า กองทัพเรือ โจทก์ตกลงซื้อและจำเลยที่ ๑ ตกลงขายร่มบุคคลโดดแบบสายดึงประจำที่แบบเอ็มซี ๑-๑ บี พร้อมร่มช่วย ที-๑๐ อาร์ และอุปกรณ์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัทไพโอเนียร์ แอโรสเปส คอร์ปอเรชัน (Pioneer Aerospace Corporation) ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเงินจำนวน ๕,๒๗๙,๙๐๔.๓๐ บาท จำเลยที่ ๑ ไม่ยอมส่งมอบสิ่งของดังกล่าวให้แก่โจทก์ตามสัญญา โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติตามสัญญา จำเลยที่ ๑ เพิกเฉย จึงบอกเลิกสัญญา และแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ชำระค่าปรับตามที่ตกลงไว้ในสัญญา จำนวน ๖๔๕,๗๐๘.๑๓ บาท จำเลยที่ ๑ เพิกเฉย จำเลยที่ ๒ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดในหนี้ของจำเลยที่ ๑ ไม่จำกัดจำนวน จึงฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินแก่โจทก์ จำนวน ๑,๐๐๖,๕๐๑.๖๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๖๕๔,๗๐๘.๑๓ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนจำเลยที่ ๑ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๑ มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะรัฐบาลประกาศเปลี่ยนแปลงระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศเป็นระบบลอยตัวทำให้สินค้าที่ซื้อขาย ซึ่งตกลงชำระราคาเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐต้องใช้เงินบาทเพิ่มมากขึ้นเกือบหนึ่งเท่าของราคาสินค้าตามสัญญา จำเลยที่ ๑ จึงส่งมอบสินค้าให้แก่โจทก์ไม่ได้และหลุดพ้นจากการชำระหนี้ไม่ต้องรับผิดตามสัญญา โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าปรับ และโจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ไม่เคยรับหนังสือแจ้งหรือบอกกล่าวให้ชำระหนี้ใด ๆ จากโจทก์ จำเลยที่ ๒ ไม่มีนิติสัมพันธ์และไม่เคยผิดนัดชำระหนี้ โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามคำฟ้อง จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวและไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ขอให้ยกฟ้อง
คดีจึงมีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่า สัญญาซื้อขายร่มบุคคลโดดแบบสายดึงประจำที่แบบเอ็มซี ๑-๑ บี พร้อมร่มช่วยที-๑๐ อาร์ และอุปกรณ์ เป็นสัญญาทางแพ่งหรือสัญญาทางปกครอง เห็นว่า มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ บัญญัติให้ ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง และมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน บัญญัติให้สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลผู้กระทำการแทนรัฐและมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทำบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ คดีนี้โจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นส่วนราชการและเป็นนิติบุคคลตามมาตรา ๑๓ และมาตรา ๑๗ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๐๓ โจทก์จึงเป็นหน่วยงานทางปกครอง และโดยที่มาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน บัญญัติให้โจทก์มีหน้าที่เตรียมกำลังกองทัพเรือและป้องกันราชอาณาจักร อันเป็นภารกิจเกี่ยวกับการจัดทำบริการสาธารณะอย่างหนึ่งที่รัฐเป็นผู้จัดทำ โดยโจทก์ต้องจัดให้มีอาวุธ ยุทโธปกรณ์ที่จำเป็น ต่อการจัดทำบริการสาธารณะนั้น เมื่อร่มบุคคลโดดแบบสายดึงประจำที่แบบเอ็มซี ๑-๑ บี พร้อมร่มช่วยที-๑๐ อาร์ และอุปกรณ์ เป็นยุทโธปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้สำหรับการฝึกและการรบ จึงเป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์สำคัญที่จำเป็นต่อการจัดทำบริการสาธารณะดังกล่าวให้บรรลุผล สัญญาซื้อขายร่มบุคคลโดดแบบสายดึงประจำที่แบบเอ็มซี ๑-๑ บี พร้อมร่มช่วยที-๑๐ อาร์ และอุปกรณ์ ระหว่างโจทก์กับ จำเลยที่ ๑ จึงเป็นสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองในคดีนี้ จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง กองทัพเรือ โจทก์ ห้างหุ้นส่วนจำกัดเครื่องเดินป่า ที่ ๑ นายยอด แสงสว่างวัฒนะ ที่ ๒ จำเลย อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) ปัญญา ถนอมรอด (ลงชื่อ) สุวัฒน์ วรรธนะหทัย
(นายปัญญา ถนอมรอด) (นายสุวัฒน์ วรรธนะหทัย)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) อักขราทร จุฬารัตน (ลงชื่อ) อัครวิทย์ สุมาวงศ์
(นายอักขราทร จุฬารัตน) (นายอัครวิทย์ สุมาวงศ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลโท สายัณห์ อรรถเกษม (ลงชื่อ) พลโท อาชวัน อินทรเกสร
(สายัณห์ อรรถเกษม) (อาชวัน อินทรเกสร)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) พรชัย รัศมีแพทย์
(นายพรชัย รัศมีแพทย์)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ
คมศิลล์ คัด/ทาน
??
??
??
??
๕