แหล่งที่มา : สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
คดีนี้เอกชน ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องอธิบดีกรมที่ดิน ผู้ถูกฟ้องคดี อ้างว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินตามหลักฐานหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) เนื้อที่ประมาณ ๒๘ ไร่ ๒ งาน ๖๐ ตารางวา ผู้ถูกฟ้องคดีออก น.ส. ๓ ก. เนื้อที่ ๒๘ ไร่ ๒ งาน ๖๐ ตารางวา ให้แก่ผู้มีชื่อทับซ้อนกับที่ดินของผู้ฟ้องคดี โดยผู้มีชื่อไม่ใช่เจ้าของและไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอน น.ส. ๓ ก. ที่พิพาท ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีให้การว่า น.ส. ๓ ก. พิพาทออกโดยอาศัยหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. ๑) ซึ่งมีชื่อนายซ. เป็นผู้แจ้งการครอบครอง จึงถือว่าผู้มีชื่อเป็นผู้ครอบครองต่อเนื่องตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ มาก่อนพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตปฏิรูปที่ดินประกาศใช้บังคับ และพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ มิได้ถือเป็นการยกเลิกสิทธิในที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินแต่อย่างใด การออก น.ส. ๓ ก. ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมาย จึงไม่มีกรณีที่จะต้องเพิกถอนหรือแก้ไข เห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีมีคำขอให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. ที่ออกทับซ้อนกับที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้รับอนุญาตเข้าทำประโยชน์ โดยอ้างว่า การออก น.ส. ๓ ก. ให้แก่ผู้มีชื่อนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรือเป็นที่ดินของผู้มีชื่อ ดังนั้น เมื่อพิจารณาความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดี กรณีจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดิน แม้ผู้ฟ้องคดีจะมีคำขอให้เพิกถอน น.ส. ๓ ก. มาด้วยก็ตาม ก็เป็นเพียงผลของการวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินพิพาทว่าเป็นที่ดินของของสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้รับอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรือเป็นที่ดินของผู้มีชื่อ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม