แหล่งที่มา : สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
คดีที่เอกชน ยื่นฟ้องปฏิรูปที่ดินจังหวัดพังงา ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ซึ่งเป็นเอกชนด้วยกันว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามหลักฐาน น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑ โดยรับให้มาจากมารดา แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) เลขที่ ๑๔๒๗ ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ทับซ้อนที่ดินดังกล่าวของผู้ฟ้องคดีทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอน ส.ป.ก. ๔-๐๑ ที่ออกทับซ้อนที่ดินของผู้ฟ้องคดี และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๓ ให้การว่าเดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่เสื่อมโทรม ต่อมามีพระราชกฤษฎีกาให้ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินในเขตปฏิรูป ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๓ จึงมีอำนาจนำที่ดินพิพาทมาทำการปฏิรูปได้ การจัดที่ดินให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นไปตามขั้นตอน ระเบียบ และกฎหมาย การออก ส.ป.ก. ๔-๐๑ ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงชอบด้วยกฎหมาย ผู้ฟ้องคดีไม่ได้รับความเสียหาย ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ให้การว่า ที่ดินตาม น.ส. ๓ ก. เลขที่ ๑ มารดาผู้ฟ้องคดีขายให้แก่บิดาของตน แต่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงทางทะเบียน โดยบิดาเข้าครอบครองที่ดินและปลูกต้นปาล์มน้ำมันทั้งแปลง จากนั้นส่งมอบการครอบครองให้แก่ตน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท การออก ส.ป.ก. ๔-๐๑ ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ชอบด้วยกฎหมายไม่ทับซ้อนกับที่ดินของผู้ฟ้องคดี เห็นว่า เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้สืบเนื่องมาจากผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๓ ออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ทับที่ดินมีเอกสารสิทธิตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๑ ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๓ อ้างว่าที่ดินพิพาทอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ เป็นผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท อันเป็นการโต้แย้งเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน ทั้งความมุ่งหมายของผู้ฟ้องคดีในการใช้สิทธิทางศาลก็เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษารับรองคุ้มครองสิทธิและพิสูจน์สิทธิในที่ดินของผู้ฟ้องคดีเป็นสำคัญ และการที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามคำขอของผู้ฟ้องคดีได้นั้น จะต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป คดีนี้จึงเป็นคดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม