คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4576/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จะพิจารณาว่าฝ่ายใดผิดนัดผิดสัญญานั้นจะต้องพิจารณาการกระทำประกอบกับเจตนาที่ฝ่ายนั้นได้แสดงออกว่าจะไม่นำพาต่อการปฏิบัติตามสัญญาหรือไม่เป็นสำคัญ แม้ตามสัญญาประนี-ประนอมยอมความกำหนดให้ทั้งสองฝ่ายไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในวันที่ 20 ตุลาคม 2532เวลา 11 นาฬิกา ก็ตาม แต่เวลา 11 นาฬิกา ที่ กำหนดนัดหมายนั้นต้องหมายถึงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายไปพร้อมกันเพื่อเริ่มดำเนินการตามแบบพิธีของทางราชการมิใช่หมายถึงเวลาที่ทำการโอนเสร็จ ฉะนั้นถ้าทนายความซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวแทนโจทก์ไปถึงตามเวลานัดหมายและแจ้งให้ทนายฝ่ายจำเลยทราบถึงเรื่องที่จะดำเนินการต่อไปเช่นนี้ ถือได้ว่าฝ่ายโจทก์ได้ไปตามเวลาที่นัดหมายแล้ว
ถ้าข้อเท็จจริงตามคำร้องของโจทก์นั้น จำเลยที่ 2 แถลงคัดค้านอยู่จะต้องมีการไต่สวนทั้งสองฝ่ายว่าความจริงเป็นประการใด จึงจะวินิจฉัยได้ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดนัดผิดสัญญา แต่ศาลชั้นต้นมิได้ไต่สวนในข้อนี้ ข้อเท็จจริงจึงยังไม่พอให้วินิจฉัย การวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดนัดโดยที่ยังมิได้มีข้อเท็จจริงให้เห็นเป็นประการใดนั้นไม่ชอบ

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม โดยสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และจำเลยทั้งสองลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๓๒ มีข้อความว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงจะไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวในวันที่ ๒๐ ตุลาคม ศกนี้ เวลา ๑๑ นาฬิกา ณสำนักงานที่ดินอำเภอแม่ริม หากโจทก์ไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ดังกล่าวพร้อมกับชำระค่าที่ดินทั้งหมดให้แก่จำเลยที่ ๒ ตามกำหนดในข้อ ๒ แล้ว ให้ถือว่าโจทก์ผิดนัด โจทก์จะไม่ติดใจที่จะฟ้องร้องใด ๆ เกี่ยวกับจำเลยทั้งสองและที่ดินแปลงนี้อีกต่อไป
ต่อมาวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๓๒ เวลา ๑๕.๒๕ นาฬิกา จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องว่าเมื่อเวลา ๑๐.๓๐ นาฬิกา จำเลยที่ ๒ ได้ปฏิบัติตามสัญญาโดยไปที่สำนักงานที่ดินอำเภอแม่ริมจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วยเอกสารสิทธิและเอกสารอื่นอันจำเป็นในการจดทะเบียน เพื่อจะทำการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทให้โจทก์ปรากฏว่าจนถึงเวลา ๑๑.๑๕ นาฬิกา โจทก์ไม่มาตามนัดจำเลยที่ ๒ รออยู่จนถึงเวลา ๑๒ นาฬิกา จึงได้ให้เจ้าพนักงานที่ดินบันทึกเป็นหลักฐานไว้และไม่ประสงค์จะโอนที่ดินให้โจทก์ต่อไป ขอให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานที่ดินงดเว้นการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ด้วย
ในวันเดียวกันเวลา ๑๖.๒๐ นาฬิกา โจทก์ก็ยื่นคำร้องว่าโจทก์ได้มอบหมายให้นายมนูทนายโจทก์ไปที่สำนักงานที่ดินอำเภอแม่ริม ถึงเมื่อเวลา ๑๐.๔๕ นาฬิกา และแจ้งให้ทนายจำเลยที่ ๒ ทราบว่าโจทก์กำลังดำเนินการให้ธนาคารออกเช็คให้จะเดินทางตามมา ขอให้แจ้งให้เจ้าพนักงานที่ดินดำเนินการจัดเตรียมเอกสารต่าง ๆ ในการทำนิติกรรมให้ โจทก์เดินทางไปถึงสำนักงานที่ดินเมื่อเวลา ๑๒.๑๐ นาฬิกา พร้อมทั้งเช็คและเงินสดจำนวน ๓,๖๙๖,๐๐๐ บาท เพื่อชำระให้จำเลยที่ ๒ และขอให้ดำเนินการโอนสิทธิในที่ดินให้แก่โจทก์ แต่จำเลยที่ ๒ ไม่ดำเนินการให้ โจทก์แจ้งต่อเจ้าพนักงานที่ดินให้ดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินให้ตามคำพิพากษาตามยอมแล้ว แต่เจ้าพนักงานไม่ดำเนินการให้ โจทก์จึงได้ให้เจ้าพนักงานบันทึกไว้ตามภาพถ่ายบันทึกท้ายคำร้อง ขอให้ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอแม่ริม โอนสิทธิในที่ดินให้โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ
ศาลชั้นต้นนัดสอบถาม ในวันนัดสอบถามโจทก์แถลงยืนยันตามบันทึกท้ายคำร้องของโจทก์ทนายจำเลยแถลงคัดค้านคำร้องของโจทก์อ้างว่าโจทก์ผิดนัด ศาลชั้นต้นพิจารณาเฉพาะคำร้องแล้วมีคำสั่งว่าโจทก์ผิดนัด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้สัญญาประนีประนอมยอมความในข้อ ๒ จะกำหนดให้ทั้งสองฝ่ายไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวในวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๓๒ เวลา ๑๑ นาฬิกา ก็ตามการที่จะพิจารณาว่าฝ่ายใดผิดนัดผิดสัญญานั้นจะต้องพิจารณาการกระทำประกอบกับเจตนาที่ฝ่ายนั้นได้แสดงออกมาว่าจะไม่นำพาต่อการปฏิบัติตามสัญญาหรือไม่เป็นสำคัญ ตามคำร้องของโจทก์ อ้างว่าได้มอบหมายให้ทนายไปที่สำนักงานที่ดินอำเภอแม่ริม เมื่อเวลา ๑๐.๔๕ นาฬิกา และได้แจ้งให้ทนายจำเลยที่ ๒ ทราบโดยขอให้เจ้าพนักงานเตรียมหลักฐานการโอนไว้ และโจทก์ได้ไปถึงสำนักงานที่ดินพร้อมทั้งเช็คและเงินสดที่จะชำระให้จำเลยที่ ๒ เมื่อเวลา ๑๒.๑๐ นาฬิกา แต่จำเลยที่ ๒ ไม่ดำเนินการให้ ซึ่งถ้าข้อเท็จจริงเป็นอย่างที่โจทก์อ้างในคำร้องแล้ว กรณีก็ไม่อาจจะถือได้ว่าโจทก์ผิดนัดผิดสัญญา เพราะเวลา ๑๑ นาฬิกาที่กำหนดนัดหมายในสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นต้องหมายถึงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายไปพร้อมกันเพื่อเริ่มดำเนินการตามแบบพิธีของทางราชการ มิใช่หมายถึงเวลาที่ทำการโอนเสร็จเรียบร้อย การที่ทนายโจทก์ซึ่งถือได้ว่าเป็นตัวแทนโจทก์ไปถึงตามเวลานัดหมายและแจ้งให้ทนายฝ่ายจำเลยทราบถึงเรื่องที่จะดำเนินการต่อไปเช่นนี้ ถือได้ว่าฝ่ายโจทก์ได้ไปตามเวลาที่นัดหมายแล้ว แต่ข้อเท็จจริงตามคำร้องของโจทก์นั้น จำเลยที่ ๒ แถลงคัดค้านอยู่ จะต้องมีการไต่สวนทั้งสองฝ่ายว่าความจริงเป็นประการใด จึงจะวินิจฉัยได้ว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิดนัด ผิดสัญญา แต่ศาลชั้นต้นยังมิได้ไต่สวนในข้อนี้ ข้อเท็จจริงจึงยังไม่พอที่ศาลฎีกาวินิจฉัยไปได้ว่าโจทก์ผิดนัด ผิดสัญญาหรือไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดนัดโดยที่ยังมิได้มีข้อเท็จจริงให้เห็นว่าจะเป็นประการใดนั้น เป็นการไม่ชอบด้วยวิธีพิจารณา
พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนข้อเท็จจริงตามคำร้องของโจทก์และจำเลยที่ ๒ แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี.

Share