คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 139/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นพนักงานของโจทก์และเป็นผู้ใช้รถยนต์ของโจทก์คันพิพาท วันเกิดเหตุเวลา 18 นาฬิกา จำเลยขับรถยนต์ดังกล่าวมาจอดห่างหน้าสำนักงานโจทก์ราว 10 เมตร โดยจำเลยปิดกระจกล็อคกุญแจไว้ที่สำนักงานโจทก์ แต่มิได้ถอนสะพานไฟ (หัวนกกระจอก) ออกตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ต่อมาเวลา 18 นาฬิกาเศษ พนักงานของโจทก์อีกสองคนเข็นรถคันพิพาทไปจอดต่อท้ายรถของโจทก์อีกคันหนึ่งห่างสำนักงานราว 3.50 เมตร ครั้นเวลา 4 นาฬิกาจึงทราบว่าคนร้ายลักรถคันนั้นไปแล้ว โดยทุบกระจกหูช้างแตกและเข้าไปในรถขับไป ดังนี้ เมื่อโจทก์ยังมิได้วางระเบียบในเรื่องถอดสะพานไฟ (หัวนกประจอก) ออก เพียงแต่ผู้บังคับบัญชาจำเลยสั่งด้วยวาจา จึงเป็นเพียงคำแนะนำหรือตักเตือนเท่านั้น ถือได้ว่าจำเลยได้ใช้ดุลพินิจในการจอดรถที่เหมาะสมแล้ว การที่รถดังกล่าวถูกคนร้ายลักไปก็เนื่องจากพนักงานซึ่งมีหน้าที่ดูแลรักษารถคันพิพาทหลับยาม โดยจำเลยมิได้มีหน้าที่ดูแลรถคันพิพาทด้วย จึงมิใช่ผลโดยตรงจากการที่จำเลยละเลยต่อหน้าที่อันพึงปฏิบัติ จะถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อหน้าที่หาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพนักงานของโจทก์ตำแหน่งหัวหน้าหมวดธุรการและพัสดุ เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๕ จำเลยเป็นผู้ใช้รถยนต์ของโจทก์ด้วยความประมาท เป็นเหตุให้รถดังกล่าวถูกคนร้ายลักไป โดยจำเลยนำรถเข้าจอดห่างจากที่จอดตามคำสั่งประมาณ ๒๐ เมตร และไม่ถอดสะพานไฟ (หัวนกประจอก) ออกเก็บไว้ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา ทำให้โจทก์เสียหาย รถยนต์ดังกล่าวราคา ๕๕,๓๕๐ บาท ซึ่งจำเลยต้องร่วมชดใช้กับผู้อื่นครึ่งหนึ่ง เป็นเงิน ๒๗,๖๗๕ บาท แต่จำเลยไม่ชำระ จึงขอให้จำเลยชดใช้ราคารถยนต์ ๒๗,๖๗๕ บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยได้จอดรถยนต์ไว้ตามระเบียบแล้ว รถยนต์ของโจทก์หายขณะอยู่ในความรับผิดของยามรักษาการณ์ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่รถยนต์ถูกคนร้ายขโมยไปถือไม่ได้ว่าเกิดจากความประมาทของจำเลย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของนายเกษมสันต์หัวหน้าที่สั่งให้ถอดสะพานไฟ ถือว่าจำเลยประมาทเลินเล่อมีส่วนทำให้คนร้ายสามารถเอารถไป จำเลยต้องรับผิด
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า วันเกิดเหตุเวลา ๑๘ นาฬิกา จำเลยขับรถคันพิพาทมาจอดห่างหน้าสำนักงานโจทก์ประมาณ ๑๐ เมตร จำเลยปิดกระจกล๊อคกุญแจประตูและนำลูกกุญแจเก็บไว้ในตู้ภายในสำนักงาน ต่อมาเวลา ๑๘ นาฬิกาเศษ นายกำพล มกราพันธ์ ซึ่งเป็นเวรอัคคีภัย กับนายสุวรรณยามรักษาการณ์ได้เข็นรถดังกล่าวมาจอดต่อท้ายรถยนต์ของโจทก์อีกคันหนึ่งห่างหน้าสำนักงานโจทก์ราว ๓.๕ เมตร คืนนั้นเวลา ๔ นาฬิกา นายสุวรรณทราบว่าคนร้ายมาลักรถคันพิพาทไปแล้ว โดยทุบกระจกหูช้างแตกแล้วเข้าไปในรถขับไป รถคันพิพาทนี้เคยหายมาก่อน และนายเกษมสันต์ ชำนิโรคสานต์ หัวหน้าจำเลยเคยสั่งด้วยวาจาให้ถอดสะพานไฟ (หัวนกประจอก) ออก แต่ในคืนเกิดเหตุไม่ได้ถอดสะพานไฟออก เห็นว่าโจทก์ยังมิได้วางระเบียบในเรื่องถอดสะพานไฟ (หัวนกระจอก) เพียงแต่นายเกษมสันต์สั่งด้วยวาจา จึงเป็นเพียงคำแนะนำหรือตักเตือนเท่านั้น การที่จำเลยจอดรถไว้โดยล๊อคกุญแจประตูและเก็บลูกกุญแจไว้ในตู้ภายในสำนักงาน นับว่าเป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมแล้ว ขณะรถถูกคนร้ายลักไปนั้นจอดอยู่ห่างหน้าสำนักงานโจทก์เพียง ๓.๕๐ เมตร ทั้งได้ความว่านายุสวรรณจะต้องดูแลทรัพย์สินของสำนักงานซึ่งไม่ปรากฏว่าจำเลยมีหน้าที่ดูแลรักษารถยนต์คันพิพาทแต่อย่างใด และเหตุที่รถยนต์คันพิพาทหายไปเป็นเพราะนายสุวรรณนอนหลับยาม จึงมิใช่ผลโดยตรงจากการที่จำเลยละเลยต่อหน้าที่อันจะพึงปฏิบัติ จะถือว่าเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อต่อหน้าที่หาได้ไม่
พิพากษายืน

Share