คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 718/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บุตรสามคนซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันในศาล ตกลงจัดผลประโยชน์ในทรัพย์สินดังกล่าวโดยการให้เช่าและให้บุตรคนหนึ่งเป็นผู้เก็บค่าเช่าส่งมอบให้บิดามารดาคนละครึ่งจนตลอดชีวิตของบิดามารดา โดยหักค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าภาษีออกเสียก่อน สัญญานี้เป็นสัญญาจะชำระหนี้แก่บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 เมื่อบิดาแสดงเจตนาถือเอาประโยชน์ตามสัญญานั้นแล้ว แม้ต่อมาบุตรทั้งสามคนนั้นจะตกลงกันเลิกสัญญาและโอนขายทรัพย์สินดังกล่าวให้แก่บุคคลภายนอกไป บุตรซึ่งรับเป็นผู้เก็บค่าเช่าก็ยังต้องรับผิดส่งเงินให้แก่บิดาไปจนตลอดชีวิต โดยคำนวณเงินที่จะต้องส่งจากส่วนเฉลี่ยของค่าเช่าที่เคยเก็บหักด้วยส่วนเฉลี่ยค่าภาษีที่เคยเสีย บุตรหาอาจเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธินั้นในภายหลังได้ไม่
การที่ศาลประมาณเงินค่าเช่าที่บิดาควรได้จากบุตรโดยวินิจฉัยจากจำนวนค่าเช่าสูงสุดกับต่ำที่สุดเป็นหลักคำนวณส่วนเฉลี่ยนั้น มิใช่เป็นการกะประมาณเอาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 ซึ่งเป็นบทบัญญัติให้อำนาจศาลใช้ดุลพินิจกำหนดค่าสินไหมทดแทนในกรณีละเมิด
การที่บุตรทั้งสามคนโอนขายทรัพย์ซึ่งตกลงกันจัดผลประโยชน์ให้แก่บุคคลภายนอกไป จะอ้างว่าค่าเช่าที่โจทก์จะได้ต้องระงับโดยเป็นหนี้ที่พ้นวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 219 หาได้ไม่ เพราะบุตรโอนขายทรัพย์ไปเอง
จำเลยฎีกาว่า โจทก์นำสืบจำนวนค่าเช่าไม่ได้แน่นอนสมฟ้อง แต่มิได้บรรยายข้อเท็จจริงในฎีกาเลยว่า โจทก์นำสืบไม่สมฟ้องประการใดบ้าง เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ตามคำพิพากษาตามสัญญายอมความในคดีแพ่งแดงของศาลจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งจำเลยมีหน้าที่ต้องส่งเงินดังกล่าวแก่โจทก์ และโจทก์มีเจตนายอมรับเอาประโยชน์ตามสัญญานั้นแล้ว แต่จำเลยส่งไม่ครบยังค้างชำระรวม ๖๐,๗๙๒.๕๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยต่อสู้ว่า ตามสัญญายอมความ เงินที่จำเลยต้องส่งให้โจทก์ไม่เท่ากันทุกเดือน แล้วแต่ค่าเช่า ต่อมาจำเลยกับร้อยตำรวจตรีวีระศักดิ์ และนางรำไพ ได้ขายทรัพย์ที่ให้เช่า ค่าเช่าที่จะส่งให้โจทก์จึงไม่มีต่อไป ทั้งจำเลยกับพวกได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอยกเลิกสัญญายอมแล้ว เพราะเป็นสัญญาฝ่ายเดียว และได้บอกโจทก์แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้อง เพราะไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน และคดีขาดอายุความ โจทก์ฟ้องซ้ำ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินรวม ๓๙,๓๙๒ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เดิมที่ดินโฉนดที่ ๑๖๐๘ พร้อมห้องแถว ๓๐ กว่าห้องและบ้านประมาณ ๔ หลังสำหรับให้เช่า เป็นของโจทก์ และนางริ้วภริยา ซึ่งได้โอนยกให้แก่ร้อยตรีวีระศักดิ์ นางรำไพและจำเลยผู้เป็นบุตรทั้งสาม ต่อมาร้อยตรีวีระศักดิ์และนางรำไพเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยขอแบ่งแยกที่ดินนี้ แล้วทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อศาลว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงจัดผลประโยชน์ในทรัพย์พิพาท คือขณะนี้มีค่าเช่าเก็บได้อยู่ประมาณเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ยอมให้จำเลยเป็นผู้เก็บค่าเช่าส่งมอบให้แก่นายอิน นางริ้ว บิดามารดา คนละครึ่งจนตลอดชีวิตของนายอิน นางริ้ว โดยหักค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับภาษีโรงเรือนและภาษีที่ดินออกคนละครึ่งด้วย และจำเลยยอมให้ผลประโยชน์ในทรัพย์พิพาทรวมทั้งส่วนได้ของร้อยตรีวีระศักดิ์คิดเป็นเงินเดือนละ ๔๐๐ บาทแก่นางรำไพ โดยหักจากค่าเช่าส่วนแบ่งของนางริ้วลง ๔๐๐ บาท เป็นอันนายอิน โจทก์คดีนี้ได้รับเดือนละประมาณ ๑,๕๐๐ บาท นางริ้วได้ประมาณเดือนละ ๑,๑๐๐ บาท และนางรำไพได้เดือนละ ๔๐๐ บาท ต่อมานางริ้วตายและต่อมาร้อยตรีวีระศักดิ์ นางรำไพ และจำเลยได้โอนขายทรัพย์พิพาทให้ผู้มีชื่อไป โจทก์ฟ้องเรียกค่าเช่าส่วนได้ของโจทก์เดือนละ ๑,๕๐๐ บาท ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๐๑ ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยส่งเงินให้โจทก์แล้วบางส่วนเพิ่งส่งไม่ครบนับแต่ปี ๒๕๐๕
๑. จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าเช่าเดือนละ ๑,๕๐๐ บาท ทุกเดือน แต่ตามสัญญายอมความข้อ ๒ ได้ระบุให้จำเลยหักค่าภาษีโรงเรือนและภาษีที่ดินออกเสียก่อน เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้แน่นอนว่า ค่าเช่าที่โจทก์มีสิทธิได้รับเป็นจำนวนเท่าใด ก็ควรถือว่าโจทก์นำสืบไม่สมฟ้องและยกฟ้องเสีย และการที่ศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์กะประมาณเงินค่าเช่าให้โจทก์นั้น ศาลจะกะประมาณได้แต่ค่าเสียหายฐานละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๓๘ ศาลจะนำมาตรานี้มาใช้กะประมาณค่าเช่าให้โจทก์ไม่ได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ศาลล่างประมาณเงินค่าเช่าที่ควรได้แก่โจทก์นั้น ได้วินิจฉัยจากจำนวนค่าเช่าสูงสุดกับต่ำที่สุดเป็นหลักคำนวณส่วนเฉลี่ย มิได้กะประมาณเอาตามมาตรา ๔๓๘ ดังจำเลยฎีกาประการใด ส่วนข้อที่ฎีกาว่า โจทก์นำสืบจำนวนค่าเช่าไม่ได้แน่นอนสมฟ้องนั้น จำเลยมิได้บรรยายข้อเท็จจริงในฎีกาเลยว่า โจทก์นำสืบไม่สมฟ้องประการใดบ้าง เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
แต่ข้อที่ฎีกาว่า ตามสัญญายอมความข้อ ๒ ระบุให้จำเลยหักค่าภาษีโรงเรือนและภาษีที่ดินออกจากเงินค่าเช่าที่จะต้องส่งให้โจทก์นั้นถูกต้อง ที่ศาลชั้นต้นว่าโจทก์จำเลยไม่นำสืบให้ศาลเห็นว่าหักภาษีกันโดยวิธีใด ศาลจึงไม่คิดหักภาษีให้นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะเมื่อจำเลยโอนขายทรัพย์สินไปแล้ว ศาลยังคำนวณค่าเช่าให้จำเลยต้องรับผิดได้ ก็ต้องคำนวณค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับภาษีที่จะต้องเสียให้ได้เช่นเดียวกัน ศาลฎีกาคำนวณส่วนเฉลี่ยแล้ว เห็นสมควรหักค่าภาษีให้จำเลยเดือนละ ๑๒๐ บาท ในระยะ ๓๒ เดือน เป็นเงินรวม ๓,๘๔๐ บาท หักออกจากเงินค่าเช่าที่คำนวณไว้คงเหลือเงินที่จำเลยจะต้องรับผิดชำระให้โจทก์ ๓๕,๕๕๒ บาท
๒. จำเลยฎีกาว่า เมื่อสังหาริมทรัพย์ที่ก่อให้เกิดหนี้ได้ถูกจำหน่ายจ่ายโอนไปแล้วค่าเช่าที่โจทก์จะได้ ก็ต้องระงับไปเพราะเป็นหนี้ที่พ้นวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๒๑๙ นั้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยกับร้อยตรีวีระศักดิ์ และนางรำไพได้โอนขายทรัพย์รายนี้ไปเอง จำเลยอ้างว่าเป็นหนี้ที่พ้นวิสัยไม่ได้เพราะจำเลยยังคงต้องรับผิดส่งเงินค่าเช่าให้โจทก์อยู่จนตลอดชีวิตตามสัญญายอมความอยู่แล้ว
๓. จำเลยฎีกาว่า ข้อตกลงตามสัญญายอมที่จำเลยจะให้เงินแก่บิดามารดา มิใช่เป็นหนี้สินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๔ และเป็นสัญญาที่จำเลยแสดงเจตนาฝ่ายเดียว จำเลยย่อมมีอำนาจยกเลิกเพิกถอนได้นั้น
ศาลฎีกาเห็นว่า เป็นการโต้เถียงฝืนถ้อยคำในมาตรา ๓๗๔, ๓๗๕ ข้อที่อ้างว่าจำเลยกับร้อยตรีวีระศักดิ์ นางรำไพ ได้ยื่นคำร้องขอยกเลิกสัญญายอมในคดีแดงที่ ๒/๒๔๙๙ และจำเลยได้แจ้งให้โจทก์ทราบ โจทก์ว่าตามใจมึง เป็นการยอมรับข้อเสนอของจำเลยแล้วนั้นก็รับฟังไม่ได้
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ ๓๕,๕๕๒ บาท.

Share