แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับจำเลยทั้งสามเห็นว่า จำเลยได้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า จำเลยทั้งสามครอบครองกัญชาหรือไม่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยไว้ และเรื่องรอการลงโทษเป็นอำนาจของศาลฎีกาที่จะวินิจฉัย โปรดรับฎีกาของจำเลยทั้งสามไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์แถลงข้างคำร้อง รับสำเนาแล้ว (อันดับ 58)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 7,8,26,76,102ฯลฯ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุกคนละ 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 1 ปี ฯลฯ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 56)
จำเลยทั้งสามจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 58)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาที่ว่า จำเลยทั้งสามมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองเป็นปัญหาข้อกฎหมายนั้น เห็นว่าการมีกัญชาของกลางไว้ในครอบครองหรือไม่เป็นข้อเท็จจริงที่ศาลล่างทั้งสองฟังจากคำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสาม การฎีกาว่าจำเลยทั้งสามไม่ได้ครอบครองกัญชาของกลาง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อฎีกาที่ขอให้ศาลฎีการอการลงโทษให้จำเลยทั้งสามนั้นเป็นฎีกาในเรื่องดุลพินิจกำหนดโทษของศาลล่างทั้งสอง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นเดียวกัน คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 1 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสาม ชอบแล้วให้ยกคำร้อง