แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยทุกข้อเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงไม่รับ
จำเลยเห็นว่า จำเลยได้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยเข้าองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ และคุณสมบัติของจำเลยสมควรที่ศาลจะรอการลงโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ได้หรือไม่ ซึ่งปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวนี้จำเลยได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วทั้งในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จึงไม่ต้องห้ามฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 80)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335,336 ทวิ ฯลฯ ให้จำคุก 1 ปี 6 เดือน คำให้การของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 1 ปี ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 336 ทวินอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 74)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 78)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเอาตลับลูกปืนของกลางซึ่งผู้เสียหายเก็บไว้ในถังมีรั้วตาข่ายล้อมรอบ เพื่อรวบรวมนำไปขายแลกเปลี่ยนหรือจำหน่ายโดยเจตนาลักทรัพย์ จำเลยฎีกาว่าจำเลยเอาของกลางจากถังขยะซึ่งเจ้าของเจตนาสละการครอบครองแล้วไปโดยเปิดเผยจำเลยไม่มีเจตนาลักทรัพย์ นอกจากนี้จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำเลยอ้างว่ามีคุณสมบัติตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56จึงเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง