แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง คดีโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ที่แก้ไขแล้ว จึงไม่รับฎีกา
โจทก์ทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของโจทก์ทั้งสองเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายทุกประเด็น ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ไม่มีบทบัญญัติห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายไว้แต่ประการใด โจทก์จึงมีอำนาจฎีกาปัญหาข้อกฎหมายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 216,217 ส่วนมาตรา220 ที่แก้ไขใหม่นั้นเป็นเพียงบทบัญญัติห้ามมิให้คู่ความฎีกาเฉพาะแต่ในปัญหาข้อเท็จจริงเท่านั้น หาใช่ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายด้วยไม่ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ทั้งสองไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานในถ้อยคำสำนวนที่ส่งมาศาลฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,175
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์มีมูลเฉพาะจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไม่มีมูล ให้ประทับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าวโจทก์ทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้
คำสั่ง
คดีนี้ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว มีคำสั่งว่า คดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ไม่มีมูล ให้ยกฟ้องและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ดังนี้ แม้ฎีกาโจทก์จะเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ที่แก้ไขแล้ว ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาโจทก์ ชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของโจทก์