แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ เพราะต้องห้าม อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 193 ทวิ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าศาลอุทธรณ์ของโจทก์ไม่เป็น สาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ เท่ากับว่าศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลศาลชั้นต้น ที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์อีกเช่นกัน คำสั่งของศาลอุทธรณ์ ดังกล่าวจึงเป็นที่สุดตามมาตรา 198 ทวิ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า อุทธรณ์ของโจทก์ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ เท่ากับศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตาม คำปฎิเสธ ของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์อีกเช่นกัน คำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็นที่สุดตามมาตรา 198 ทวิ วรรคสาม
ย่อยาว
ความว่า โจทก์ ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกา คำสั่งของโจทก์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 198 ทวิ วรรคท้าย จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า คำสั่งศาลชั้นต้นไม่ชอบ เพราะอำนาจในการ สั่งฎีกาเป็นอำนาจของศาลฎีกาและเรื่องคัดค้านผู้พิพากษาเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีจึงไม่ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานในสำนวนว่าจำเลยได้รับสำเนา คำร้องแล้วหรือไม่
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326, 328, 173, 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 172 และ 173 ให้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ นอกจากที่แก้ให้เป็น ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ เห็นว่าคดีไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิจึงไม่รับอุทธรณ์
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่า ศาลอุทธรณ์ของโจทก์เป็นการโต้เถียง ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น ซึ่งจะหยิบยก พยานหลักฐานเกี่ยวกับปัญหาข้อใดข้อหนึ่งขึ้นวินิจฉัยก็ได้ อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิส่วนข้อที่โจทก์อุทธรณ์ว่าผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่เคยพิจารณาพิพากษาคดีนี้แล้วพิพากษาคดีนี้ใหม่ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน ถือได้ว่าเป็นการ อุทธรณ์คัดค้านตัวผู้พิพากษาไม่มีอำนาจพิพากษาคดีที่ศาลอุทธรณ์ ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ จึงเป็นอุทธรณ์ใน ปัญหาข้อกฎหมาย แต่กฎหมายมิได้บัญญัติบังคับว่าจะต้องให้ ผู้พิพากษาอื่นเป็นผู้พิพากษาตามที่โจทก์อุทธรณ์ ปัญหาข้อกฎหมาย นี้ จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลชั้นต้น สั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง
โจทก์ฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 187)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 185)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า หน้าที่ของศาลที่จะตรวจฎีกาของโจทก์ว่าควรจะรับส่งไปยังศาลฎีกาหรือไม่นั้น ย่อมเป็นหน้าที่ ของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 223 และเมื่อศาลชั้นต้นตรวจฎีกาของโจทก์แล้ว เห็นว่าคดีนี้ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ เพราะคดีต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ และแม้เรื่องการคัดค้านผู้พิพากษาจะเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาทและเป็นปัญหาข้อกฎหมายก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย จึงมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณา เท่ากับว่าศาลอุทธรณ์ มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ อีกเช่นกัน คำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็นที่สุดแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 ทวิ วรรคสามโจทก์ฎีกาคำสั่งนี้อีกไม่ได้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ของโจทก์ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง