แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของจำเลย ข้อ 2.1 และ 2.2 เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่ไร้สาระ ส่วนข้อ 2.3 เป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามกฎหมาย จึงไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งฉบับ จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า จำเลยมีกัญชาของกลาง ไม่ถึง 10 กิโลกรัม ถือว่ามีเพียงเล็กน้อยไม่ถึงกำหนดที่ กฎหมายให้ถือว่ามีไว้เพื่อจำหน่าย จำเลยควรได้รับโทษ ในความผิดฐานจำหน่ายกัญชาเพียงฐานเดียว เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาด้วย หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 26,75 วรรคหนึ่ง,76 วรรคสองลงโทษฐานมียาเสพติดให้โทษประเภท 5(กัญชา) ไว้ในครอบครอง เพื่อจำหน่าย จำคุก 2 ปี ลงโทษฐานจำหน่ายกัญชา จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย 2 ปี ริบของกลาง คืนธนบัตรจำนวน 60 บาท แก่เจ้าของ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 38) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 41)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้วจำเลยฎีกาว่า กัญชาของกลางไม่ถึงสิบกิโลกรัมถือไม่ได้ว่า จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำเลยแบ่งขายควรได้รับโทษในความผิดฐานจำหน่ายกัญชาเพียงฐานเดียว และจำเลยเป็นคนชรา ควรรอการลงโทษให้จำเลย เห็นว่าคดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยดังกล่าวเป็นฎีกาโต้เถียงว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดและขอให้รอการ ลงโทษ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง