แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ที่เป็นคนกลางช่วยติดต่อโดยสุจริตให้ผู้เสียหาย ไถ่ของที่ถูกลักไปคืนมาจากคนร้าย ไม่ได้สมคบกับคนร้าย เพื่อจะเอาค่าไถ่เป็นประโยชน์ส่วนตัว ไม่มีความผิดฐานรับของโจร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและยื่นคำร้องขอแก้และเพิ่มเติมฟ้องว่าเมื่อคืนวันที่ 8 ตุลาคม 2497 มีคนร้ายลักรถจักรยานสามล้อคันหนึ่ง ราคา 3,000 บาทของนางเนียม ซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของนายเภาไป ต่อมาวันที่ 25 ตุลาคม 2497 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานจับจำเลยทั้งสามได้ และได้รถจักรยานสามล้อที่หายเป็นของกลาง โดยจำเลยทั้งสามเป็นผู้ติดต่อนำมาคืนให้โดยเรียกค่าไถ่ ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสามสมคบกันเป็นคนร้ายลัก หรือมิฉะนั้นระหว่างวันที่ 8 ตุลาคม 2497 ถึงวันที่ 25 ตุลาคม 2497 เวลาใดไม่ปรากฏ จำเลยสมคบกันรับรถจักรยานสามล้อรายนี้ไว้ โดยรู้ว่า เป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดต่อกฎหมาย เหตุเกิดที่ตำบลป้อมปราบ และตำบลเทพศิรินทร์ อำเภอป้อมปราบจังหวัดพระนคร ก่อนคดีนี้ นายปลั่ง นายดำรงค์ จำเลย เคยต้องโทษมาแล้ว ตามใบแดงแจ้งโทษ นายดำรงค์ จำเลยพ้นโทษไปยังไม่เกิน 5 ปีไม่เข็ดหลาบขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย
นายดำรงค์ จำเลยให้การรับสารภาพว่าได้รับรถจักรยานสามล้อไว้โดยรู้ว่า เป็นของที่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมาย ส่วนข้อเคยต้องโทษและพ้นโทษมาแล้ว ก็รับว่าเป็นความจริง
นายปลั่ง นายเลื่อน จำเลย ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาได้ความตามคำพยานโจทก์ว่า เมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2497 นายเภาได้เช่ารถจักรยานสามล้อ ก.ท.04787 ของนางเนียมไปขับขี่รับจ้าง ครั้นเวลา 23 นาฬิกา ได้จอดรถที่หน้าร้านกาแฟวัดเล่งเน่ยยี่ แล้วนายเภาเข้าไปสั่งกาแฟในร้านนั้น เมื่อกลับออกมาปรากฏว่า รถจักรยานสามล้อได้หายไป จึงไปแจ้งให้ผู้เสียหายทราบ ต่อมาวันที่ 20 เดือนเดียวกัน นายแป้นสามีผู้เสียหายได้บอกผู้เสียหายว่านายปลั่ง จำเลยทราบเรื่องรถจักรยานสามล้อที่หายวันรุ่งขึ้นผู้เสียหายไปหานายปลั่ง จำเลย ที่โรงยาฝิ่นตรงข้ามโรงพยาบาลกลาง ถามเรื่องรถจักรยานสามล้อที่หายไป นายปลั่ง จำเลยบอกว่า รู้เรื่อง ให้เอาเงินมาไถ่ 700 บาท ผู้เสียหายต่อ 350 บาทนายปลั่ง จำเลยให้รอคนมาติดต่อ และนัดให้ไปพบอีกในวันรุ่งขึ้นเผอิญวันที่นัดกันไว้ ผู้เสียหายไม่สบาย นายแป้นจึงไปหานายปลั่งจำเลยแทนผู้เสียหาย แต่ไม่พบจนถึงวันที่ 24 เดือนนั้นเอง นายแป้นกับผู้เสียหายจึงไปพบนายปลั่ง จำเลย นายปลั่ง จำเลยบอกว่า จะเอาค่าไถ่ 450 บาท ผู้เสียหายยอมตกลง ครั้นวันรุ่งขึ้น ผู้เสียหายไปพบนายปลั่ง จำเลยอีก โดยมีนายแป้น นายใช้ไปด้วย นายปลั่ง จำเลยให้นายดำรงค์ จำเลยนำนายใช้ไปเอารถจักรยานสามล้อมาให้ ระหว่างนี้ผู้เสียหายได้ไปแจ้งความที่กองกำกับการ 2 กองปราบปรามสามยอดนายร้อยเวรจัดให้นายร้อยตำรวจตรีสมโพธิ์ มาที่โรงยาฝิ่นกับผู้เสียหาย เมื่อนายดำรงค์ จำเลยนำรถมาถึงโรงยาฝิ่นแล้วนายร้อยตำรวจตรีสมโพธิ์ได้จับตัวไว้แล้วตามไปจับนายปลั่ง จำเลยในโรงยาฝิ่นอีก ชั้นสอบสวนนายดำรงค์จำเลยให้การซัดทอดถึงนายเลื่อนจำเลย เจ้าพนักงานจึงจับนายเลื่อนจำเลยมาสอบสวนเป็นผู้ต้องหาด้วย
นายปลั่ง จำเลยนำสืบว่า นายแป้นกับนางเนียม ผู้เสียหายมาขอร้องให้ช่วยติดต่อสืบหารถจักรยานสามล้อที่หาย โดยบอกว่า จะไม่ดำเนินคดี จำเลยจึงรับติดต่อให้ โดยบอกให้นายดำรงค์ไปช่วยสืบนายดำรงค์ จำเลยช่วยสืบหาแล้วมาบอกว่า รถอยู่ที่นายยุทธ เขาจะเอาค่าไถ่ 450 บาท นายปลั่ง จำเลยจึงได้บอกให้ผู้เสียหายมาไถ่ที่โรงยาฝิ่น
นายเลื่อน จำเลยนำสืบว่า จำเลยกับนายสมศักดิ์เดินจะกลับบ้านได้แวะดื่มกาแฟที่ร้านตรงข้ามโรงพยาบาลกลาง ขณะนั้นมีตำรวจเข้าไปในร้าน แล้วมีชายคนหนึ่งวิ่งหนีออกไป ตำรวจไล่ตามจับไม่ได้ ก็มาจับนายเลื่อน จำเลยไป
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้อหาฐานลักทรัพย์ โจทก์ไม่มีพยานสืบส่วนข้อหาฐานรับของโจร นายดำรงค์ จำเลยให้การรับสารภาพแล้วเป็นอันยุติ คดีเฉพาะตัวนายปลั่ง จำเลย น่าเชื่อตามคำพยานหลักฐานโจทก์ว่าได้สมคบกับนายดำรงค์ จำเลยรับรถจักรยานคันนี้ไว้โดยรู้ว่าเป็นของร้าย ส่วนนายเลื่อน จำเลย ไม่มีพยานโจทก์คนใดรู้เห็นว่านายเลื่อนจำเลยได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์รายนี้ คงมีคำซัดทอดของนายดำรงค์จำเลยชั้นสอบสวน ไม่พอฟังลงโทษได้ พิพากษาว่า นายปลั่ง นายดำรงค์จำเลยมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 321 ให้จำคุกคนละ 1 ปีเพิ่มโทษนายดำรงค์ จำเลย 1 ใน 3 ตามมาตรา 72 รวมโทษจำคุกนายดำรงค์จำเลย 1 ปี 4 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง โดยให้การรับสารภาพ คงจำคุกนายดำรงค์ จำเลย 8 เดือน ปล่อยนายเลื่อนจำเลยพ้นข้อหาไป
นายปลั่ง นายดำรงค์ จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า นายปลั่ง จำเลยเป็นเพียงคนกลางติดต่อระหว่างผู้เสียหายกับผู้ที่ได้รับรถของกลางไว้ เพื่อเอารถของกลางคืนให้แก่ผู้เสียหายโดยความสุจริต เพื่อหวังเงินรางวัลที่นายแป้นสามีผู้เสียหายว่าจะให้เท่านั้น ยังไม่พอฟังลงโทษฐานรับของโจรได้ส่วนนายดำรงค์ จำเลยนั้น ได้ความว่า เป็นผู้ไปนำรถของกลางมาให้ผู้เสียหาย และถูกเจ้าพนักงานจับพร้อมด้วยของกลาง ทั้งนายดำรงค์จำเลยก็ได้ให้การรับสารภาพผิดอยู่แล้ว จึงต้องมีความผิดฐานรับของโจร ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับนายปลั่ง จำเลยนอกจากนี้คงยืนตาม
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษนายปลั่ง จำเลยตามศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาปรึกษาคดีนี้แล้ว ได้ความตามคำพยานโจทก์ว่า เมื่อรถจักรยานสามล้อของนางเนียมหายไปแล้ว นายแป้น สามีผู้เสียหายได้ไปขอร้องให้นายปลั่ง จำเลยช่วยติดตามให้ โดยจะให้ค่าป่วยการบ้าง นายปลั่ง จำเลยก็รับปากว่าจะช่วย และบอกว่า ถ้าตามรถมาได้อย่าให้นำเรื่องไปแจ้งตำรวจ จะเดือดร้อนด้วย นายแป้นกลับมาบอกผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงไปหานายปลั่ง จำเลย และมีการติดต่อกันจนกระทั่งได้รถของกลางคืนมา ไม่ได้ความว่า นายปลั่ง จำเลยสมคบกับคนร้ายเพื่อจะเอาเงินไถ่เป็นประโยชน์ส่วนตัว เพียงแต่เป็นคนกลางช่วยติดต่อให้โดยความสุจริต หามีความผิดฐานรับของโจรไม่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชอบแล้ว
จึงให้ยกฎีกาโจทก์ โดยพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์