คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1288/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีที่ผู้เยาว์เป็นโจทก์ฟ้องคดีเอง ฟ้องหาว่าจำเลยบังอาจฉุดคร่าห์อนาจาร ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 276 นั้น แม้จำเลยจะให้การตัดฟ้องไว้ว่า โจทก์มีอายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์แม้บิดาจะให้ความยินยอมแล้วก็ยังใช้ไม่ได้ บิดาจะต้องเป็นผู้ฟ้องแทนโจทก์จึงจะสมบูรณ์ก็ดี แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยไม่เชื่อข้อเท็จจริง จำเลยจึงไม่ได้อุทธรณ์ คงมีแต่โจทก์อุทธรณ์ฝ่ายเดียว และเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ลงโทษจำเลย จำเลยก็ฎีกาเพียงข้อเท็จจริงไม่ได้ยกข้อตัดฟ้องขึ้นฎีกาด้วย ดังนี้ศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัยข้อตัดฟ้องนั้นก็ได้ คงวินิจฉัยเฉพาะข้อเท็จจริงที่ฎีกาขึ้นมาเท่านั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบังอาจฉุดคร่าห์พาเอาโจทก์ไปเพื่อการอนาจารขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 276

จำเลยปฏิเสธ และตัดฟ้องว่าโจทก์มีอายุไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ถึงแม้บิดาจะให้ความยินยอมแล้วก็ยังใช้ไม่ได้ บิดาจะต้องเป็นผู้ฟ้องแทนโจทก์จึงจะสมบูรณ์

ศาลชั้นต้นฟังว่าพยานโจทก์เบิกความแตกต่างกัน พิพากษายกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำคุกจำเลย 8 เดือน ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 276

จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงต่อมา

ศาลฎีกาเชื่อข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำผิดจริง จึงพิพากษายืน

Share