คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 665/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรมการอำเภอมีอำนาจสั่งให้ผู้บุกรุกเข้าทำนา ออกจากที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ซึ่งจัดไว้ให้ราษฎรเลี้ยงสัตว์ร่วมกันถ้าขัดขืนอาจมีความผิดฐานขัดคำสั่ง

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ถึงวันที่ 13 กรกฎาคม 2494 เวลากลางวันและกลางคืน จำเลยไม่มีอำนาจจะทำได้โดยชอบด้วยกฎหมายได้สมคบกันบุกรุกเข้าไปทำนาและครอบครองทำเลเลี้ยงสัตว์ป่าตะติง บ้านแสลงพันธ์ ตำบลแกใหญ่อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งเป็นทำเลเลี้ยงสัตว์พาหนะสาธารณประโยชน์ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2494 นายเกษม จียะพันธ์ นายอำเภอเมืองสุรินทร์ ได้มีคำสั่งให้จำเลยออกจากที่รายนี้ภายใน 7 วัน จำเลยได้ทราบคำสั่งแล้วแต่มีเจตนาฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานโดยไม่ยอมเลิกการครอบครอง และออกจากที่ทำเลรายนี้ ยังขืนบุกรุกครอบครองอยู่ตลอดมาจนบัดนี้ เหตุเกิดตำบลแกใหญ่ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 334

จำเลยให้การปฏิเสธว่ามิได้ทำผิด ต่อสู้ว่าที่พิพาทมิได้มีประกาศพระราชกฤษฎีกาแสดงว่าเป็นที่ดินหวงห้าม และตามพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2479 มาตรา 15 และกฎกระทรวงที่ออกตามความในพระราชบัญญัตินี้ กรมการอำเภอไม่มีอำนาจสั่งให้จำเลยออกจากที่พิพาท คำสั่งกรมการอำเภอจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ข้อเท็จจริงได้ความว่า ที่ดินที่โจทก์ฟ้องหาจำเลยนี้อำเภอเมืองสุรินทร์ได้มีประกาศกำหนดเขตสงวนไว้เป็นทำเลเลี้ยงสัตว์สาธารณประโยชน์เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน2468 จำเลยเข้าไปครอบครองทำนาในที่นี้ใน พ.ศ. 2494 ทางอำเภอจึงออกคำสั่งเมื่อวันที่13 กรกฎาคม 2494 ให้จำเลยออกไปจากที่รายนี้ จำเลยทราบคำสั่งแล้วไม่ยอมออกเพราะถือว่าเป็นที่นาของจำเลย

ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้จึงงดสืบพยานโจทก์ จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า การจะหวงห้ามที่ดินหรือจะสงวนที่ดินไว้เป็นที่ทำเลเลี้ยงสัตว์นั้นจะต้องกระทำโดยออกประกาศเป็นพระราชกฤษฎีกาตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่า อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พุทธศักราช 2478 มาตรา 4-5 เพียงแต่อำเภอออกประกาศหวงห้ามยังหาเป็นการถูกต้องชอบด้วยกฎหมายไม่ที่รายที่จำเลยเข้าครอบครองนี้คงถือได้ว่าเป็นที่รกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ผู้ใดเข้าครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ถ้าพนักงานเจ้าหน้าที่สั่งให้ออกแล้วหม่ยอมออกย่อมมีความผิดตามพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พุทธศักราช 2479 มาตรา 15 แต่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ได้แก่อธิบดีกรมที่ดิน นายอำเภอไม่ใช่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายฉบับนั้น การกระทำของจำเลยจึงไม่มีผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานจึงพิพากษายกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลยไป

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดีควรฟังข้อเท็จจริงต่อไป ตามที่คู่ความจะนำสืบตามประเด็นของตนเพื่อประกอบกับบทกฎหมายที่จะใช้ปรับคดีนี้ จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานทั้ง 2 ฝ่ายแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีและกฎหมาย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาได้ประชุมปรึกษาคดีนี้แล้ว เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ พุทธศักราช 2457 มาตรา 122 บัญญัติไว้ว่า”กรมการอำเภอมีหน้าที่ที่จะต้องคอยตรวจตรารักษามิให้ผู้ใดเกียดกันเอาที่สาธารณประโยชน์คือที่เลี้ยงปศุสัตว์ที่จัดไว้สำหรับราษฎรไปรวมเลี้ยงด้วยกันตลอดจนถนนหนทางและที่อย่างอื่นซึ่งเป็นของกลางให้ราษฎรใช้ได้ด้วยกันไปเป็นอาณาประโยชน์แต่เฉพาะตัว” ฉะนั้นถ้าพวกจำเลยพากันบุกรุกเข้ามาทำนาในที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งจัดไว้ให้ราษฎรเลี้ยงสัตว์ร่วมกันอันเป็นที่สาธารณประโยชน์แล้ว กรมการอำเภอก็มีอำนาจที่จะสั่งให้จำเลยออกไปจากที่นั้นได้ และคำสั่งเช่นนั้นก็เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อจำเลยทราบคำสั่งแล้วยังขัดขืนไม่ยอมออกไปตามคำสั่งจำเลยก็ต้องมีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้ยังไม่ได้ความแน่ว่าที่ ๆ จำเลยบุกรุกเข้ามาทำนานี้เป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทไหนหรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์สั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยตามประเด็นให้สิ้นกระแสความก่อนจึงชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น

จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลยเสีย

Share