คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 172/2489

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามสัญญากล่าวว่า ‘ผู้เช่าซื้อยอมให้ผู้ให้เช่าเรียกร้องราคาที่นาเมื่อหนึ่งเมื่อใดได้ ในเมื่อผู้ให้เช่าต้องการ’ เช่นนี้ไม่ได้ตกลงกันว่าจะใช้เงินกันเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว ไม่เป็นสัญญาเช่าซื้อ แต่เป็นสัญญาจะซื้อขาย
สัญญาจะซื้อขายที่ดินกันนั้น ถ้าผู้ซื้อไม่ฟ้องขอให้ผู้รับมรดกผู้ขายโอนที่ดินภายใน 1 ปี ย่อมขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมนางพริ้งมารดาจำเลยซึ่งตายไปแล้วตกลงขายที่ให้โจทก์ 820 บาทโดยมีเงื่อนไขว่า โจทก์ต้องชำระเงินให้เสร็จในเมื่อนางพริ้งเรียกร้อง ระหว่างชำระราคาไม่เสร็จโจทก์ต้องเสียค่าเช่าให้นางพริ้ง โจทก์ขอชำระเงินที่ค้างอีก 200 บาท แล้วให้จำเลยโอนที่ให้โจทก์ จึงขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ ซึ่งโจทก์ได้ทำไว้กับนางพริ้งผู้ตาย

จำเลยให้การรับสารภาพว่า เป็นความจริงดังฟ้อง แต่คดีโจทก์ขาดอายุความแล้ว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า สัญญาเช่าซื้อที่โจทก์อ้างนั้นขาดเงื่อนไขอันระบุไว้ใน มาตรา 572 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เพราะมิได้กำหนดว่าจะใช้เงินกันกี่คราว เป็นแต่ระบุว่าจะชำระเมื่อนางพริ้งเรียกร้อง จึงไม่เข้าลักษณะสัญญาเช่าซื้อ เป็นสัญญาจะซื้อขายที่ดิน โจทก์ฟ้องเกิน 1 ปีนับแต่นางพริ้งตายคดีขาดอายุความพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาเฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า สัญญาระหว่างโจทก์กับนางพริ้งเป็นสัญญาจะซื้อขายหรือเป็นสัญญาเช่าซื้อ

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญาระหว่างโจทก์กับนางพริ้งข้อ 5 มีความว่า “ผู้เช่าซื้อยอมให้ผู้ให้เช่าเรียกร้องราคาที่นาเมื่อหนึ่งเมื่อใดได้ในเมื่อผู้ให้เช่าต้องการ”

ตามสัญญาข้อ 5 นี้จะเห็นได้ว่า ไม่ได้ตกลงกันไว้ว่าจะใช้เงินกันเป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้คราว จึงหาเป็นสัญญาเช่าซื้อไม่หากเป็นสัญญาจะซื้อขายที่นากัน เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องภายในกำหนด 1 ปีนับแต่นางพริ้งตาย คดีโจทก์ขาดอายุความ พิพากษายืน

Share