คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7032/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามหนังสือให้ความยินยอมในการทำสัญญาประกันภัยของจำเลยทั้งสองจำเลยที่ 1 ยอมให้ธนาคารโจทก์ดำเนินการทำสัญญาประกันภัยหลักทรัพย์ที่เป็นประกันหนี้แทนจำเลยที่ 1 ซึ่งในการทำสัญญาหรือต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 1 ตกลงเป็นผู้ชำระค่าเบี้ยประกันภัยโดยให้โจทก์เป็นผู้ชำระแทน แล้วหักบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 หรือเรียกเก็บจากจำเลยทั้งสอง ฉะนั้น การที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าเบี้ยประกันภัยที่ออกทดรองไปก่อน จึงเป็นการที่ตัวแทนเรียกเอาเงินที่ได้ทดรองจ่ายไปชดใช้จากตัวการ ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้ ต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30
สัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ทำกับโจทก์ระบุว่า จำเลยที่ 2 ยอมเข้าค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 จำนวน 400,000 บาท และสัญญาจำนองที่ดินของจำเลยที่ 2 ก็ระบุว่า จำเลยที่ 2 ตกลงจำนองที่ดินเป็นประกัน400,000 บาท จำเลยที่ 2 จึงมีความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองในต้นเงิน 400,000 บาท การที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในต้นเงิน 441,718.25 บาท จึงเป็นการพิพากษาให้จำเลยที่ 2 รับผิดมากกว่าที่จะต้องรับผิดตามกฎหมาย ปัญหานี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้คู่ความมิได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และมาตรา 247

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ยอมให้นำดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบเป็นต้นเงินได้ตามประเพณีของธนาคารพาณิชย์ โดยกำหนดชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2535 ในวันเดียวกันจำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่โจทก์ นอกจากนี้จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม สำหรับหลักทรัพย์ที่นำมาจำนองจำเลยทั้งสองตกลงเป็นผู้ชำระค่าเบี้ยประกันภัย โดยยอมให้โจทก์ชำระไปก่อนแล้วเรียกเก็บจากจำเลยทั้งสอง เมื่อครบกำหนดตามสัญญาจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ให้ครบถ้วน คงมียอดหนี้ต้นเงินและดอกเบี้ยทบต้นเป็นเงิน 557,029.83 บาท ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 291,456.32 บาท โจทก์ชำระค่าเบี้ยประกันภัยแทนจำเลยทั้งสองจำนวน 5 ครั้ง ครั้งละ 648 บาท เป็นเงิน 3,240 บาท จึงคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์ได้ชำระจนถึงวันฟ้องเป็นเงิน508.74 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวน 848,486.15 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี จากต้นเงิน 557,029.83 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 3,748.74 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 3,240 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้บังคับจำนองนำทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบถ้วน

จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหลังครบกำหนดตามสัญญาจำเลยที่ 1 ไม่เคยเดินสะพัดทางบัญชีอีกต่อไป โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นเพียงฝ่ายเดียว นับแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2535 ถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2536 คงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยโดยวิธีธรรมดาเท่านั้น ส่วนดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2536ถึงวันฟ้อง โจทก์มีสิทธิคิดเพียงอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีเท่านั้น โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินเบี้ยประกันที่ออกเงินทดรองไปเป็นเวลาเกินกว่า 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์ได้ออกเงินแทนจำเลยที่ 1 จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/34การบอกกล่าวบังคับจำนองไม่ชอบ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน441,718.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยทบต้นอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 มกราคม2535 ถึงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2535 หลังจากนั้นให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี แบบไม่ทบต้น จนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 3,748.74 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 3,240 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 25 เมษายน 2539) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 5145 ตำบลแม่กลอง (บางจะเกร็ง) อำเภอเมืองสมุทรสงคราม จังหวัดสมุทรสงคราม พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ หากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้ให้โจทก์จนครบ

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 ข้อแรกว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะตามหนังสือมอบอำนาจ นายเวทย์ นุชเจริญ ผู้จัดการสาขาสมุทรสาครคนเดิมได้มอบอำนาจให้ทนายความโจทก์เป็นผู้บอกกล่าวบังคับจำนอง แต่โจทก์ไม่นำนายเวทย์มาเบิกความรับรองหนังสือมอบอำนาจดังกล่าว จึงรับฟังไม่ได้ว่า โจทก์มอบอำนาจให้ทนายความโจทก์เป็นผู้บอกกล่าวบังคับจำนองนั้น เห็นว่า โจทก์มีนายสุวิช สุภาจรูญ ผู้จัดการสาขาสมุทรสาครขณะโจทก์ยื่นฟ้องและเป็นผู้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีนี้เบิกความประกอบหนังสือมอบอำนาจลงวันที่ 24 มีนาคม 2537 ว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้นายเวทย์ผู้จัดการสาขาสมุทรสาครคนเดิมเป็นตัวแทนในอันที่จะกระทำการที่จำเป็นหรือสมควรในการจัดการแทนโจทก์ในกิจการของโจทก์ สาขาสมุทรสาครโดยให้มีอำนาจเรียกร้องทวงถามให้ชำระหนี้ บอกกล่าวบังคับจำนองหรือจำนำรวมทั้งให้มีอำนาจตั้งผู้รับมอบอำนาจช่วงเพื่อดำเนินการแทนด้วย เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2538 นายเวทย์ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ทนายความโจทก์ดำเนินการแจ้งบอกเลิกสัญญาแจ้งให้ชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยทั้งสองแทนโจทก์ จำเลยที่ 1 มิได้นำสืบโต้แย้งให้เห็นเป็นประการอื่น แม้โจทก์ไม่ได้นำนายเวทย์ผู้จัดการสาขาสมุทรสาครคนเดิมมาเบิกความรับรองหนังสือมอบอำนาจข้อเท็จจริงก็ฟังได้แล้วว่าโจทก์โดยนายเวทย์ผู้จัดการสาขาสมุทรสาครคนเดิมได้มอบอำนาจให้ทนายความโจทก์บอกกล่าวบังคับจำนองโดยชอบแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

จำเลยที่ 1 ฎีกาข้อสองว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะมิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้เดินสะพัดทางบัญชีกับโจทก์ในแต่ละเดือนเป็นยอดหนี้เท่าใด โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราใดและคิดเป็นดอกเบี้ยค้างชำระในแต่ละเดือนเท่าใดนั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์ จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ โดยจำเลยที่ 2 จดทะเบียนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกัน จำเลยที่ 1 ได้เดินสะพัดทางบัญชีกับโจทก์ ในวันสิ้นสุดสัญญาบัญชีเดินสะพัดจำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์เป็นเงินเท่าใด โจทก์ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาและบอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยเป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา พอที่จำเลยที่ 1 จะเข้าใจและสามารถต่อสู้คดีได้แล้ว ส่วนข้อที่ว่าจำเลยที่ 1 ได้เดินสะพัดทางบัญชีกับโจทก์ในแต่ละเดือนเป็นยอดหนี้เท่าใด โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราใด และคิดเป็นดอกเบี้ยค้างชำระในแต่ละเดือนเท่าใดนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ไม่จำต้องบรรยายมาในฟ้องด้วย ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสองแล้ว หาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

จำเลยที่ 1 ฎีกาข้อที่สามว่า แม้สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีครบกำหนดชำระหนี้วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2535 แต่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คเบิกเงินครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2534 ต้องถือว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดตั้งแต่วันที่ 22 กรกฎาคม 2534แล้วนั้น เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2536อันเป็นวันที่จำเลยที่ 1 เดินสะพัดทางบัญชีกับโจทก์เป็นครั้งสุดท้าย จำเลยที่ 1 ให้การว่าสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีครบกำหนดวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2535 เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยที่ 1 ไม่เคยเดินสะพัดทางบัญชีกับโจทก์นับแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2535 โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้น เป็นการต่อสู้ว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2535 ซึ่งศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยว่าสัญญาบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดวันที่ 12กุมภาพันธ์ 2535 ดังนั้น คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นจึงเป็นการสมประโยชน์แก่จำเลย จึงไม่อาจยกปัญหานี้ขึ้นอุทธรณ์ได้อีก ทั้งมิได้เป็นปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยปัญหาข้อนี้ให้ ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 7 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

จำเลยที่ 1 ฎีกาข้อสุดท้ายว่า โจทก์มิได้ฟ้องเรียกเงินค่าเบี้ยประกันภัยตามฟ้องซึ่งโจทก์ได้ทดรองจ่ายแทนจำเลยที่ 1 ภายในกำหนด 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองจ่ายไปจึงขาดอายุความแล้วนั้น เห็นว่า ตามหนังสือให้ความยินยอมในการทำสัญญาประกันภัยของจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 1 ยินยอมให้โจทก์เป็นผู้ดำเนินการทำสัญญาประกันภัยหลักทรัพย์ที่เป็นประกันหนี้แทนจำเลยที่ 1 ในการทำสัญญาประกันภัยหรือต่ออายุกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยที่ 1 ตกลงเป็นผู้ชำระค่าเบี้ยประกันภัยโดยยินยอมให้โจทก์เป็นผู้ชำระแทน แล้วหักบัญชีกระแสรายวันของจำเลยที่ 1 หรือเรียกเก็บจากจำเลยทั้งสอง ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าเบี้ยประกันภัยที่โจทก์ได้ออกทดรองไปจึงเป็นการที่ตัวแทนเรียกเอาเงินที่ได้ทดรองจ่ายไปชดใช้จากตัวการซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เป็นอย่างอื่นต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ที่เรียกเงินค่าเบี้ยประกันภัยไม่ขาดอายุความนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 1 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง สัญญาค้ำประกันเงินกู้ของจำเลยที่ 2 ระบุว่า ตามที่จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีตามสัญญาลงวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2534 นั้น ผู้ค้ำประกันยอมเข้าค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าว ซึ่งสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ระบุจำนวนเงินกู้เบิกเงินเกินบัญชี 400,000 บาท และหนังสือสัญญาจำนองที่ดินของจำเลยที่ 2 ระบุว่าจำเลยที่ 2 ตกลงจำนองที่ดินเป็นประกันจำนวนเงิน400,000 บาท จำเลยที่ 2 จึงมีความรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเงินกู้และหนังสือสัญญาจำนองที่ดินในต้นเงิน 400,000 บาทเท่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันและผู้จำนองร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในต้นเงินจำนวน 441,718.25 บาท จึงเป็นการพิพากษาให้จำเลยที่ 2 รับผิดมากกว่าที่จะต้องรับผิดตามกฎหมาย ปัญหานี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความมิได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบด้วยมาตรา 246 และมาตรา 247”

พิพากษาแก้เป็นว่า เฉพาะจำเลยที่ 2 ให้ร่วมรับผิดชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจำนวน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27มกราคม 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จ และกรณียึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้แทนจำเลยทั้งสอง ให้บังคับเพียงต้นเงิน 400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 มกราคม 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

Share