คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1248/2504

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนังสือมอบอำนาจมีข้อความว่า “โดยหนังสือนี้กรมโยธาเทศบาล(โดยหลวงสัมฤทธิวิศวกรรมอธิบดีกรมโยธาเทศบาล)—————-ได้มอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร(โดยนายแสวง ทิมทอง) เป็นโจทก์ฟ้องนายชิตเทศพิทักษ์ผู้รับเหมาก่อสร้างสะพานฯ ซึ่งไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามเงื่อนไขฯ เป็นเหตุให้สะพานฯ ชำรุดและพัง ฯลฯ” เป็นการมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรโดยตำแหน่งหน้าที่เป็นโจทก์ฟ้องจำเลย ไม่ใช่มอบอำนาจให้นายแสวง ทิมทองเป็นส่วนตัว ฟ้องจำเลย (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 35/2504)
กรมโยธาเทศบาลมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฟ้องคดีแทนปลัดจังหวัดในฐานะผู้รักษาการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจลงลายมือชื่อเป็นโจทก์ในคำฟ้องแทนได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 601 ที่ห้ามมิให้ฟ้องผู้รับจ้างเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่วันการชำรุดบกพร่องได้ปรากฏขึ้นนั้นหมายถึง การฟ้องร้องในเมื่อได้รับมอบการที่ว่าจ้างนั้นแล้ว
การที่ผู้จ้างชำระค่าจ้างให้ผู้รับจ้างไปก่อนงานเสร็จโดยยังมิได้รับมอบงานที่ทำ งานนั้นวินาศลงและผู้ว่าจ้างเรียกเงินคืน เป็นกรณีเรียกเงินฐานผิดสัญญา มิใช่ฐานลาภมิควรได้ จะนำอายุความตามมาตรา 419 มาใช้ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า กรมโยธาเทศบาลเรียกประกวดราคาสร้างสะพาน จำเลยเป็นผู้ประกวดได้ โจทก์ที่ 2 โดยอนุมัติของกรมโยธาเทศบาลและได้รับอนุญาตจากโจทก์ที่ 1 จึงทำสัญญาก่อสร้างสะพานกับจำเลย ๆ ก่อสร้างไม่เรียบร้อยตามสัญญา โจทก์ไม่ยอมรับมอบสะพาน การก่อสร้างชะงักอยู่จนถูกน้ำและสวะปะทะพังลง ตามสัญญาจำเลยเป็นผู้จัดหาสัมภาระสะพานพังก่อนส่งมอบโดยมิใช่การกระทำของโจทก์ สินจ้างเป็นอันไม่ต้องใช้ แต่ในระหว่างก่อสร้างจำเลยได้รับเงินค่าจ้างเหมาไป 347,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยคืนเงินนี้พร้อมด้วยดอกเบี้ย

จำเลยให้การรับว่าได้ทำสัญญารับจ้างก่อสร้างสะพานตามฟ้องจริงแต่โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะไม่ใช่คู่สัญญา และโจทก์ที่ 2ไม่มีอำนาจฟ้องแทนโจทก์ที่ 1 เพราะไม่ใช่ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ที่ 1 คดีขาดอายุความแล้ว จำเลยไม่ผิดสัญญา ผู้ว่าจ้างได้ตรวจรับงานและจ่ายค่าจ้างให้เป็นงวด ๆ แล้ว สะพานพังลงโดยภัยธรรมชาติและความผิดของผู้ว่าจ้างเอง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อค้านของจำเลยเรื่องอำนาจฟ้องฟังไม่ขึ้น เรื่องนี้เป็นสัญญาจ้างทำของ จำเลยเป็นผู้จัดหาสัมภาระสะพานพังลงก่อนรับมอบกัน ความวินาศมิได้เป็นเพราะการกระทำของโจทก์สินจ้างเป็นอันไม่ต้องใช้ โจทก์จ่ายสินจ้างไปแล้วจึงมีสิทธิเรียกคืนได้ แต่คดีขาดอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 601 แล้ว และการเรียกสินจ้างที่จ่ายล่วงหน้าคืนเป็นเรื่องลาภมิควรได้ คดีจึงขาดอายุความตามมาตรา 419 ด้วย พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ว่าคดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ที่ 2 ในฐานะปลัดจังหวัดรักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัด มีอำนาจเซ็นคำฟ้องแทนผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งกรมโยธาฯ โจทก์ที่ 1 ได้มอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฟ้องแทน แต่ไม่มีอำนาจฟ้องในฐานะส่วนตัว คดียังไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 601 และไม่ใช่กรณีลาภมิควรได้ไม่ขาดอายุความตามมาตรา 419 สะพานพังก่อนผู้ว่าจ้างรับมอบ และไม่ใช่เพราะการกระทำของผู้ว่าจ้าง จำเลยต้องรับผิดตามมาตรา 603 พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ที่ 1 ฟ้องของโจทก์ที่ 2 ให้ยก

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า 1. นายคีรีปลัดจังหวัดลงลายมือชื่อเป็นโจทก์ในคำฟ้องในฐานะผู้รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัด ย่อมมีอำนาจกระทำแทนผู้ว่าราชการจังหวัดได้ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2499 มาตรา 11 กรมโยธาเทศบาลมอบให้ผู้ว่าราชการจังหวัดฟ้องคดีนี้แทน นายคีรีลงลายมือชื่อท้ายคำฟ้องในฐานะผู้รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดจึงชอบแล้วตามหนังสือมอบอำนาจของกรมโยธามีข้อความว่า “โดยหนังสือนี้กรมโยธาเทศบาล (โดยหลวงสัมฤทธิวิศวกรรม อธิบดีกรมโยธาเทศบาล) ได้มอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร (โดยนายแสวง ทิมทอง) เป็นโจทก์ฟ้องนายชิต เทศพิทักษ์ ผู้รับเหมาก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำหลังสวนชำรุดและพัง ฯลฯ” เป็นการมอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพรโดยตำแหน่งหน้าที่เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยหาใช่มอบอำนาจให้นายแสวงทิมทอง เป็นส่วนตัวฟ้องจำเลยไม่ เป็นการมอบและรับมอบอำนาจต่อกันในทางราชการ การที่ระบุชื่อไว้ในวงเล็บนั้น ฟังได้เพียงว่า ขณะมอบอำนาจนั้น นายแสวง ทิมทอง เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร หาใช่เป็นการจำกัดเฉพาะตัวนายแสวงไม่ 2. ตามสัญญาไม่ได้กำหนดว่าจะส่งงานรับงานกันเป็นส่วน ๆ การที่โจทก์จ่ายเงินให้จำเลยไปเป็นงวด ๆจะถือว่ารับมอบงานแล้วไม่ได้ จำเลยก่อสร้างผิดจากรายการก่อสร้างและไม่ถูกต้องเรียบร้อย จึงยังไม่มีการรับมอบสะพานต่อมาสะพานถูกกระแสน้ำและสวะพัดพัง จำเลยต้องรับผิดชอบ 3. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 601 ที่บัญญัติห้ามมิให้ฟ้องผู้รับจ้างเมื่อพ้นปีหนึ่งนับแต่การชำรุดบกพร่องได้ปรากฏขึ้นนั้น เป็นบทบัญญัติสำหรับกรณีความชำรุดบกพร่องดังกล่าวไว้ในมาตราก่อน ๆ คือ หมายถึงการฟ้องร้องในเมื่อได้รับมอบการที่ว่าจ้างนั้นแล้ว ฉะนั้น จะนับอายุความตั้งแต่วันชำรุดบกพร่องเกิดขึ้นก่อนการส่งมอบดังกรณีนี้ไม่ได้และการที่ผู้จ้างชำระค่าจ้างให้ผู้รับจ้างไปก่อนงานเสร็จโดยยังมิได้รับมอบงานที่ทำงานนั้นวินาศลงและผู้ว่าจ้างเรียกเงินคืนเช่นเรื่องนี้ เป็นกรณีเรียกเงินฐานผิดสัญญา มิใช่ฐานลาภมิควรได้จะนำมาตรา 419 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับไม่ได้

พิพากษายืน

Share