คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5417/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

นายทะเบียนสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดได้รับจดทะเบียนเสร็จสิ้นการชำระบัญชีของห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2528 ซึ่งในวันนั้นถือว่าเป็นวันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี แต่โจทก์ฟ้องเรียกหนี้สินจากจำเลยที่ 1จำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ชำระบัญชีที่โจทก์อ้างว่าเป็นลูกหนี้ในวันที่ 25 มีนาคม 2535 จึงเกิน 2 ปี ย่อมขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1272 ไม่ว่าจำเลยที่ 3 จะได้มีหนังสือส่งคำบอกกล่าวเป็นจดหมายลงทะเบียนแจ้งให้โจทก์ทราบ เพื่อให้โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ยื่นคำทวงหนี้แก่จำเลยที่ 3 ตามมาตรา 1253(2) หรือไม่ก็ตาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ จำเลยที่ 3 เป็นผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม2521 โจทก์ทำสัญญาจ้างจำเลยที่ 1 ทำไม้หวงห้ามธรรมดานอกจากไม้สักในสัมปทานป่าโครงการไม้กระยาเส็ดกวด มีข้อตกลงว่า จำเลยที่ 1 ต้องชักลากไม้ที่ตัดโค่นตัดทอนตบแต่งแล้ว 1,835 ต้น ไปรวมหมอนที่ริมถนนเข้าอำเภอละอุ่น จังหวัดระนอง ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ 9 ถึง 10 และต้องเฝ้ารักษาไม้จำนวนดังกล่าวไว้จนกว่าโจทก์จะรับมอบและจ่ายเงินค่าจ้างแก่จำเลยที่ 1 เสร็จ ถ้าไม้เกิดการสูญหายไป จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชดใช้ค่าปรับแก่โจทก์ตามจำนวนไม้ที่สูญหาย ในวันทำสัญญาดังกล่าวจำเลยที่ 1 ได้นำหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาระนอง ลงวันที่ 22 สิงหาคม2521 มามอบไว้แก่โจทก์เพื่อประกันการปฏิบัติตามสัญญาภายในวงเงิน 262,000 บาทต่อมาประมาณเดือนเมษายน 2525 ไม้ของโจทก์ได้สูญหายไป 173 ท่อน ปริมาตร574.17 ลูกบาศก์เมตร คิดเป็นเงิน 606,497 บาท โจทก์จึงเรียกค่าปรับเงินจำนวนดังกล่าวจากจำเลยที่ 1 กับแจ้งให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ชำระตามสัญญาค้ำประกันแก่โจทก์ธนาคารผู้ค้ำประกันได้ชำระเงินค่าปรับแทนจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์แล้ว 262,000 บาทคงเหลือเงินค่าปรับที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระ 344,497 บาท ครั้นถึงวันที่ 30 พฤศจิกายน2526 ผู้เป็นหุ้นส่วนของจำเลยที่ 1 ตกลงทำสัญญาเลิกห้างจำเลยที่ 1 และตั้งจำเลยที่ 3เป็นผู้ชำระบัญชี จำเลยที่ 3 ไม่ส่งคำบอกกล่าวการเลิกห้างจำเลยที่ 1 เพื่อให้โจทก์ทวงหนี้ของจำเลยที่ 1 การจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์2528 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์มีหนังสือทวงถามจำเลยที่ 1 ให้ชำระเงินค่าปรับ344,497 บาท ให้แก่โจทก์ภายในวันที่ 20 มีนาคม 2527 จำเลยที่ 1 เพิกเฉย ขอบังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ 551,191.20 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 344,497 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและให้เพิกถอนการจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีจำเลยที่ 1

จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การทำนองเดียวกันว่า ได้มีการจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีเลิกห้างจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2528 แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2535 เกินกว่าสองปี นับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 ได้ชำระบัญชีเสร็จเมื่อวันที่ 29 มกราคม 2528 ต่อมาได้จดทะเบียนเลิกห้างและชำระบัญชีเมื่อวันที่ 21กุมภาพันธ์ 2528 โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยทั้งสามเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2535 เกินสองปีนับแต่วันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชีเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1272 ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นที่คู่ความนำสืบมาและไม่ได้โต้แย้งในชั้นฎีการับฟังยุติได้ว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด มีจำเลยที่ 2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ต่อมาจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนเสร็จสิ้นการชำระบัญชี เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2528 ตามสำเนาหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดระนองเอกสารหมาย ล.1 โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินค่าปรับตามสัญญาทำไม้หวงห้ามระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1ต่อศาลเป็นคดีนี้ เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2535 มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประเด็นข้อแรกว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1272 บัญญัติไว้ว่า “ในคดีฟ้องเรียกหนี้สินซึ่งห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทหรือผู้เป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นหรือผู้ชำระบัญชีเป็นลูกหนี้อยู่ในฐานะเช่นนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นกำหนดสองปีนับวันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี” เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่านายทะเบียนสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดได้รับจดทะเบียนเสร็จสิ้นการชำระบัญชีจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2528 ซึ่งในวันนั้นถือว่าเป็นวันถึงที่สุดแห่งการชำระบัญชี แต่โจทก์ฟ้องเรียกหนี้สินจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 2 ในฐานะหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ในฐานะผู้ชำระบัญชีที่โจทก์อ้างว่าเป็นลูกหนี้ในวันที่ 25 มีนาคม 2535 จึงเกิน 2 ปี ย่อมขาดอายุความ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1272 ดังกล่าว ไม่ว่าจะได้ความตามที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 3 มิได้มีหนังสือส่งคำบอกกล่าวเป็นจดหมายลงทะเบียนแจ้งให้โจทก์ทราบ เพื่อให้โจทก์ในฐานะเจ้าหนี้ที่ยื่นคำทวงหนี้แก่จำเลยที่ 3 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1253(2) หรือไม่ก็ตาม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์ในประเด็นนี้ชอบแล้ว”

พิพากษายืน

Share