คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 595/2545

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องอ้างถึงสัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งจำเลยซื้อจากโจทก์มีกำหนด 1 ปี โจทก์จะส่งมอบให้แก่จำเลยไตรมาสละ 2 เที่ยว คิดราคาตามปริมาณน้ำมันที่ปรากฏในใบตราส่งแต่ละเที่ยว โจทก์ส่งน้ำมันเชื้อเพลิงให้จำเลยแล้วหลายเที่ยว เป็นเงิน 25,829,671.26 ดอลลาร์สหรัฐ จำเลยชำระหนี้ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้แล้วบางส่วน คงค้างชำระเป็นเงิน 11,708,362.76 ดอลลาร์สหรัฐ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยเป็นการบรรยายฟ้องให้พอเข้าใจได้ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 30 และข้อกำหนดคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศพ.ศ. 2540 ข้อ 6 แล้วฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
โจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีนี้ก่อน แล้วจึงไปยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ คดีนี้มิใช่คดีที่ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 ไม่เป็นฟ้องซ้อน
สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยมีข้อตกลงว่าบรรดาข้อพิพาทที่เกิดขึ้นให้เสนอต่ออนุญาโตตุลาการ ย่อมหมายรวมถึงการผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายด้วย หากคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งโต้แย้งการเรียกร้องให้ชำระหนี้ดังกล่าว
โจทก์เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังมิได้ชำระเป็นเงิน 13,811,352.76 ดอลลาร์สหรัฐ จำเลยมิได้โต้แย้งหรือปฏิเสธหนี้ดังกล่าว กลับมีหนังสือขอผ่อนชำระหนี้ และมีหนังสือขอชำระหนี้โดยการโอนสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่มีต่อลูกหนี้รายอื่นและเสนอนำทรัพย์สินมาจำนองเป็นประกัน นอกจากนี้จำเลยได้ชำระหนี้ที่ค้างชำระบางส่วน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่โจทก์ทั้งยังยอมให้โจทก์เรียกให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระหนี้ตามหนังสือสัญญาค้ำประกัน 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งธนาคารก็ได้ชำระให้แก่โจทก์ไปเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นกรณีที่จำเลยได้รับสภาพหนี้ตามสัญญาซื้อขายให้แก่โจทก์แล้ว ไม่อาจถือได้ว่ามีข้อพิพาทหรือข้อโต้แย้งอันเกิดจากหรือเนื่องจากสัญญาซื้อขายอันโจทก์จะต้องเสนอต่ออนุญาโตตุลาการก่อนฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจดทะเบียนตามกฎหมายประเทศสาธารณรัฐเกาหลี เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2539 จำเลยทำสัญญาซื้อน้ำมันเชื้อเพลิงกับโจทก์ โจทก์ส่งน้ำมันเชื้อเพลิงตามสัญญาให้แก่จำเลยหลายครั้งคิดเป็นเงินทั้งสิ้น 25,829,671.26 ดอลลาร์สหรัฐ จำเลยชำระค่าน้ำมันเชื้อเพลิงบางส่วนแล้วผิดนัดไม่ชำระโจทก์จึงเรียกให้ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ชำระเงินตามสัญญาค้ำประกันเป็นเงิน 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ คงค้างชำระเป็นต้นเงินจำนวน 11,708,362.76 ดอลลาร์สหรัฐ และดอกเบี้ยจำนวน 1,835,710.71 ดอลลาร์สหรัฐ โจทก์ติดตามทวงถามแล้วแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 13,544,073.47 ดอลลาร์สหรัฐพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 27 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยไม่เคยเป็นหนี้ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงตามฟ้อง โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ส่งมอบน้ำมันเชื้อเพลิงให้ครบถ้วน โจทก์มิใช่ผู้เสียหายเพราะสถาบันการส่งออกของประเทศสาธารณรัฐเกาหลีได้ชดใช้เงินดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้ว ตามสัญญากำหนดให้นำข้อพิพาทเข้าสู่การพิจารณาของอนุญาโตตุลาการก่อน โจทก์จึงยังไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้อง โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามฟ้อง และฟ้องของโจทก์ในคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ย.3903/2541 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 11,708,362.76 ดอลลาร์สหรัฐพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 2,278,731.74 ดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่วันที่ 16 พฤศจิกายน 2540 ของต้นเงินจำนวน 1,991,242.80 ดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2540 ของต้นเงินจำนวน 1,313,067.54 ดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2540 ของต้นเงินจำนวน 2,710,379.13 ดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2540 ของต้นเงินจำนวน 1,303,278.40 ดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2541 ของต้นเงินจำนวน 1,397,933.52 ดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม2541 และของต้นเงินจำนวน 713,729.63 ดอลลาร์สหรัฐ นับตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้โดยให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนตามอัตราเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในกรุงเทพมหานคร โดยอาศัยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องอัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ ณ สิ้นวันทำการในวันที่มีคำพิพากษาเป็นเกณฑ์ ถ้าไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าว ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเช่นว่านั้นก่อนวันมีคำพิพากษาคำขอนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยในข้อต่อไปว่าคำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์มิได้บรรยายมาในฟ้องว่า โจทก์ส่งขายน้ำมันเชื้อเพลิงให้จำเลยกี่ครั้ง ครั้งละจำนวนเท่าใด ส่งมอบให้แก่จำเลยในวันใดบ้าง และแต่ละครั้งเป็นจำนวนเงินเท่าใด จำเลยผิดนัดตั้งแต่เมื่อใด คิดดอกเบี้ยตั้งแต่เมื่อใดถึงเมื่อใด ซึ่งถือเป็นสาระสำคัญของคดี ไม่ใช่รายละเอียดที่โจทก์สามารถนำมาสืบได้ในชั้นพิจารณานั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องอ้างถึงสัญญาซื้อขายน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งจำเลยซื้อจากโจทก์มีกำหนด 1 ปี โจทก์จะส่งมอบน้ำมันเชื้อเพลิงให้แก่จำเลยไตรมาสละ 2 เที่ยว คิดราคาน้ำมันตามจำนวนปริมาณน้ำมันที่ปรากฏในใบตราส่งแต่ละเที่ยว โจทก์ส่งน้ำมันเชื้อเพลิงให้จำเลยมาแล้วหลายเที่ยว เป็นเงิน 25,829,671.26 ดอลลาร์สหรัฐ จำเลยชำระหนี้ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงให้แล้วบางส่วนคงค้างชำระเป็นเงิน 11,708,362.76 ดอลลาร์สหรัฐ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย เป็นการบรรยายถึงสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างซึ่งอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา รวมทั้งคำขอบังคับให้พอเข้าใจได้ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 30 และข้อกำหนดคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2540ข้อ 6 แล้ว ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องบรรยายรายละเอียดต่าง ๆ ดังที่จำเลยกล่าวมาในอุทธรณ์ ทั้งจำเลยก็มิได้กล่าวอ้างว่า จำเลยไม่เข้าใจคำบรรยายฟ้องตอนใดของโจทก์ โดยจำเลยได้ยื่นคำให้การปฏิเสธว่าไม่เคยซื้อและรับมอบน้ำมันเชื้อเพลิงจากโจทก์ไม่เคยเป็นหนี้โจทก์ แสดงว่าจำเลยเข้าใจคำฟ้องของโจทก์เป็นอย่างดี คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยต่อไปอีกว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ ย.3903/2541 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 173 วรรคสอง ซึ่งนำมาใช้แก่คดีนี้โดยอนุโลมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ความในวรรคสองของมาตราดังกล่าว บัญญัติว่า นับแต่เวลาได้ยื่นคำฟ้องแล้ว คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาและผลแห่งการนี้ (1) ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนี้ต่อศาลเดียวกันหรือต่อศาลอื่น ข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางฟังว่า โจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีนี้ก่อน แล้วจึงไปยื่นฟ้องคดีต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ คดีนี้จึงมิใช่คดีที่ต้องห้ามมิให้ฟ้องตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว โดยไม่จำต้องพิจารณาถึงว่าคดีนี้เป็นคดีเรื่องเดียวกันกับคดีแพ่งที่โจทก์ได้ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้หรือไม่ ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนกับคดีหมายเลขดำที่ ย.3903/2541 ของศาลแพ่ง

มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยต่อไปว่าสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยมีข้อตกลงว่าบรรดาข้อพิพาทที่เกิดขึ้นให้เสนอต่ออนุญาโตตุลาการ แต่โจทก์มิได้เสนอข้อพิพาทคดีนี้แก่อนุญาโตตุลาการตามข้อตกลงในสัญญา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้นั้น เห็นว่า ข้อความว่า บรรดาข้อพิพาทหรือขัดแย้งที่เกิดจากหรือเนื่องด้วยข้อสัญญาตามที่กำหนดไว้ในสัญญาซื้อขายคดีนี้ย่อมหมายรวมถึงการผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายนี้ด้วย หากคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งโต้แย้งการเรียกร้องให้ชำระหนี้ดังกล่าว ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ได้เรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่ยังมิได้ชำระจำนวน 7 เที่ยว เป็นเงิน 13,811,352.76 ดอลลาร์สหรัฐ จำเลยมิได้โต้แย้งหรือปฏิเสธหนี้จำนวนดังกล่าว กลับมีหนังสือขอผ่อนชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ.15 และมีหนังสือขอชำระหนี้โดยการโอนสิทธิเรียกร้องของจำเลยที่มีต่อลูกหนี้รายอื่นและเสนอนำทรัพย์สินมาจำนองเป็นประกันตามเอกสารหมาย จ.16 นอกจากนี้ยังได้ความว่า จำเลยได้ชำระหนี้ที่ค้างชำระดังกล่าวบางส่วนจำนวน 100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่โจทก์ ทั้งยังยอมให้โจทก์เรียกให้ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ผู้ค้ำประกัน ชำระหนี้ตามหนังสือสัญญาค้ำประกันจำนวน 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ก็ได้ชำระเงินจำนวน 2,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ให้แก่โจทก์ไปเรียบร้อยแล้ว จึงเป็นกรณีที่จำเลยได้รับสภาพหนี้ตามสัญญาซื้อขายให้แก่โจทก์แล้ว กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่ามีข้อพิพาทหรือข้อโต้แย้งอันเกิดจากหรือเนื่องจากสัญญาซื้อขายตามฟ้องอันโจทก์จะต้องเสนอต่ออนุญาโตตุลาการก่อนฟ้อง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมิได้สั่งจำหน่ายคดีนี้ เพราะเหตุที่โจทก์มิได้เสนอคดีนี้ต่ออนุญาโตตุลาการก่อน ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น…

อนึ่ง ตามคำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางที่พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทไทย ตามอัตราถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิช์ ณ สิ้นวันทำการในวันที่มีคำพิพากษานั้น ยังไม่ชอบด้วยเหตุผล สมควรให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยนในเวลาที่ใช้เงิน ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 196”

พิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยจะชำระเป็นเงินไทย ให้คิดอัตราแลกเปลี่ยนตามอัตราถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในกรุงเทพมหานครโดยอาศัยประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยของธนาคารพาณิชย์ในวันที่มีการใช้เงิน ถ้าไม่มีอัตราแลกเปลี่ยนในวันดังกล่าว ให้ถือเอาวันสุดท้ายที่มีอัตราแลกเปลี่ยนเช่นว่านั้นก่อนวันที่มีการใช้เงิน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง

Share