คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 746/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

มูลคดีเรื่องเดียวกันนี้ โจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีอาญาหาว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ทำการฉ้อโกงเอากระบือของโจทก์ไปโดยหลอกลวงว่าจะซื้อกระบือศาลอุทธรณ์พิพากษาถึงที่สุดว่าข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ซื้อกระบือของโจทก์ไป จำเลยที่ 1 มิได้กระทำผิดตามฟ้องดังนี้ การพิพากษาคดีนี้อันเป็นคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้เกี่ยวข้องกับการซื้อกระบือรายนี้ จึงไม่มีกรณีที่จะต้องวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยที่ 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 บังอาจสมคบกันหลอกลวงโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 มีความประสงค์จะขอซื้อกระบือโจทก์ 5 ตัวเพื่อนำไปขายโดยจะชำระราคาให้ โจทก์หลงเชื่อ จึงตกลงขายกระบือให้ราคาตัวละ1,420 บาท รวมเป็นเงิน 7,100 บาท จำเลยที่ 1 ได้ให้จำเลยที่ 2 รับกระบือไปเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2514 รุ่งขึ้นโจทก์ไปขอรับเงิน จำเลยที่ 1 ขอผัดต่อมาวันที่ 6 กันยายน 2514 จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ได้สมคบกันหลอกลวงโจทก์อีกว่าต้องการซื้อกระบือจากโจทก์อีก 18 ตัว โดยจะชำระราคาให้รวมกับกระบือ 5 ตัวที่รับไปครั้งแรกในวันที่ 20 กันยายน โจทก์หลงเชื่อจึงตกลงขายให้แก่จำเลยที่ 1 ราคาตัวละ 1,650 บาท รวมเป็นเงิน 29,700 บาทโดยจะมอบกระบือให้ในวันที่ 9 กันยายน 2514 และจำเลยที่ 1 สัญญาว่าจะทำหนังสือสัญญาซื้อขายให้ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3มารับกระบือจากโจทก์ไป 9 ตัวเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2514 และรับไปอีก9 ตัว เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2514 ครั้นถึงกำหนดชำระเงินวันที่ 20 กันยายน2514 จำเลยทั้งสามไม่ชำระเงินให้ จึงขอศาลได้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายเท่ากับราคากระบือ 23 ตัวเป็นเงิน 36,800 บาท และดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยซื้อกระบือ 5 ตัว จากโจทก์ มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซื้อกระบือจำนวน 18 ตัวของโจทก์

จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ได้ซื้อกระบือ 5 ตัวจากโจทก์เป็นเงิน7,100 บาท และได้ชำระราคาให้ครบถ้วน ส่วนกระบืออีก 18 ตัว จำเลยที่ 3ซื้อและชำระราคาแก่โจทก์แล้ว จำเลยที่ 2 มิได้เกี่ยวข้องด้วย

จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ แต่ก่อนสืบพยาน โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ซื้อกระบือจากโจทก์รวม 23 ตัว และยังมิได้ชำระราคาให้ กรณีเช่นนี้ไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือก็ฟ้องให้บังคับคดีได้ พิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้เงิน 36,800บาท พร้อมดอกเบี้ย

จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2

ศาลฎีกาเห็นว่า มูลคดีเรื่องเดียวกันนี้ โจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีอาญาหาว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 กระทำการฉ้อโกงเอากระบือของโจทก์ไปโดยเจตนาทุจริต ปรากฏตามสำนวนคดีอาญาของศาลแขวงธนบุรีหมายเลขแดงที่ 735/2515 และศาลอุทธรณ์พิพากษาถึงที่สุดเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ว่า ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซื้อกระบือของโจทก์ไป จำเลยที่ 1 มิได้กระทำผิดตามฟ้องเช่นนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า การพิพากษาคดีนี้อันเป็นคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา คือคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีดังกล่าว ซึ่งฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 มิได้ร่วมกับจำเลยที่ 2และที่ 3 ซื้อกระบือรายนี้จากโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้เกี่ยวข้องกับการซื้อกระบือรายนี้ จึงไม่มีกรณีที่จะต้องวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 47 ดังที่โจทก์ฎีกา

พิพากษายืน

Share