คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 476/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เงื่อนไขแนบกรมธรรม์ประกันภัยมีข้อความว่า ‘หากมิได้ชำระเบี้ยประกันให้บริษัทฯ ในงวดใด ก็ให้ยกกรมธรรม์ โดยไม่ต้องคุ้มครองในงวดนั้น และผู้เอาประกันภัยไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น’นั้นหมายความว่า ไม่ใช้กรมธรรม์ประกันภัยบังคับเอาแก่ผู้รับประกันภัยและผู้เอาประกันภัยในชั่วระยะนั้นซึ่งเสมือนหนึ่งเป็นการเลิกสัญญากรมธรรม์ประกันภัยชั่วคราว ในระยะที่ไม่ชำระเบี้ยประกันนั่นเอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยนำรถยนต์ของจำเลยมาเอาประกันในวินาศภัยหรืออุบัติเหตุ จำเลยผิดนัดไม่ชำระเบี้ยประกันภัย จึงขอให้จำเลยใช้เงินกับดอกเบี้ย

จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่จำเลยที่รถยนต์จำเลยบุบสลาย จำเลยบอกเลิกสัญญากับโจทก์ การที่จำเลยไม่ชำระเบี้ยประกันแก่โจทก์ ต้องถือว่ากรมธรรม์ประกันภัยเป็นอันยกเลิก

วันนัดสืบพยาน โจทก์จำเลยรับกันว่า สัญญากรมธรรม์ประกันภัยและเงื่อนไขท้ายสัญญาที่โจทก์จำเลยอ้างถูกต้อง คำว่า “ค่าเคลม”หมายถึงค่าเสียหายที่ฝ่ายโจทก์ชดใช้แก่จำเลยตามกรมธรรม์ประกันภัยไม่หมายถึงค่าเบี้ยประกันภัยที่ค้าง คู่ความไม่ติดใจสืบพยาน ขอให้วินิจฉัยข้อเท็จจริงเท่าที่คู่ความรับกันประกอบกับเอกสารท้ากันว่ากรมธรรม์ประกันภัยเลิกหรือไม่

ศาลชั้นต้นฟังว่า สัญญาประกันภัยเลิกกัน นับแต่จำเลยผิดนัดไม่ชำระเบี้ยประกันแก่โจทก์ โจทก์ต้องแพ้คดีตามที่ท้าไว้ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า

ตามเงื่อนไขแนบกรมธรรม์ข้อ 3 ที่จำเลยอ้างว่า สัญญากรมธรรม์ประกันภัยเลิกกันแล้วนั้น มีข้อความว่า “หากมิได้ชำระเบี้ยประกันให้บริษัทฯ ในงวดใด ก็ให้ยกกรมธรรม์โดยไม่ต้องคุ้มครองในงวดนั้นและผู้เอาประกันภัยไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ ทั้งสิ้น” ตามเงื่อนไขข้อ 3 นี้แม้จะใช้คำว่ายกกรมธรรม์ก็ดี ก็มีผลเป็นการไม่ใช้กรมธรรม์นั้นบังคับเอาแก่ผู้รับประกันภัยและผู้เอาประกันภัยในชั่วระยะนั้น ซึ่งกล่าวได้เสมือนหนึ่งว่าเป็นการเลิกสัญญากรมธรรม์ประกันภัยนั้นชั่วคราว ชั่วในระยะที่ไม่ชำระเบี้ยประกันนั้นเอง แต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้ได้ความต่อไปว่า การเลิกสัญญากรมธรรม์ประกันภัยชั่วคราวดังกล่าวแล้ว ได้ติดต่อกันตลอดไปตั้งแต่งวดที่ 30 จนถึงงวดที่ 42 จนจำเลยมีหนังสือศาลหมาย ล.1 ถึงโจทก์บอกเลิกสัญญากรมธรรม์ตามฟ้องทั้งหมดซึ่งตามฟ้องของโจทก์ก็อ้างสิทธิเรียกเบี้ยประกันภัยมาเพียงถึงเวลาที่จำเลยบอกเลิกสัญญาตามเอกสารล.1 เท่านั้น ซึ่งดังได้วินิจฉัยมาแล้ว จึงถือได้ว่า สัญญากรมธรรม์ประกันภัยตามฟ้องได้ยกหรือเลิกติดต่อกันตลอดมาจนถึงวันที่จำเลยบอกเลิกตามเอกสาร ล.1 สัญญากรมธรรม์ประกันภัยตามฟ้องไม่ได้เคยกลับฟื้นคืนขึ้นมาใช้ได้โดยการส่งเบี้ยประกันภัยกันใหม่อีกเลย จึงมีผลเป็นการเลิกสัญญากรมธรรม์ประกันภัยตามฟ้องกันตั้งแต่การไม่ชำระเบี้ยประกันภัยงวดที่ 30 ตลอดมา โจทก์จึงต้องแพ้คดีตามคำท้า

พิพากษายืน

Share