คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1701/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยสมคบกับพวกทำการปล้นทรัพย์ เมื่อปล้นทรัพย์แล้วระหว่างที่พาเอาทรัพย์หนีไปและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นจากการจับกุมและปกปิดการกระทำของพวกตน พวกของจำเลยคนใดคนหนึ่งซึ่งไม่ปรากฏจากข้อเท็จจริงแน่ชัดว่าเป็นคนใดได้ยิงพวกผู้เสียหายถึงตาย เป็นเรื่องสมคบกันมาปล้นทรัพย์แล้วมีการตายเกิดขึ้น เมื่อโจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนยิงพวกเจ้าทรัพย์ตายหรือจำเลยได้สมคบกับคนร้ายในการปล้นรายนี้ฆ่าพวกของเจ้าทรัพย์หลังจากทำการปล้นทรัพย์แล้ว และระหว่างที่พาเอาทรัพย์หนีไปความผิดของจำเลยจึงไม่ต้องด้วยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(7)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่ถึงแก่ความตายไปแล้ว กับพวกอีก 1 คน มีอาวุธสมคบกันปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายโดยขู่เข็ญว่าจะทำร้ายและใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย เพื่อให้เป็นความสะดวกแก่การปล้นทรัพย์ การพาเอาทรัพย์ไป เพื่อให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์ และเพื่อยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้และจำเลยกับพวกได้บังอาจสมคบกันใช้อาวุธปืนยิงสิบเอกอภิรัตน์พวกผู้เสียหายถึงแก่ความตาย เพื่อปกปิดการกระทำความผิดของจำเลย เพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นจากการจับกุม และเพื่อจะหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดฐานปล้นทรัพย์นั้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340, 289(7), 83 และสั่งคืนของกลางที่เป็นของผู้เสียหายให้แก่ผู้เสียหาย และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า นายเจริญหรือจ๊ะ ยิ้มละมัย จำเลยที่ 1มีความผิดฐานร่วมกับพวกปล้นทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 340 วรรคท้าย จำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต แต่คำให้การชั้นสอบสวนและชั้นศาลเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามมาตรา 78ประกอบมาตรา 53(1) จำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 16 ปี ส่วนนายเต็งจำเลยที่ 2 หลักฐานไม่พอเชื่อว่าได้ร่วมทำการปล้นด้วย จึงให้ยกฟ้อง ปล่อยจำเลยที่ 2 พ้นข้อหาไป ให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 2,450 บาทให้ผู้เสียหาย กับคืนขันน้ำพานรองกับสร้อยข้อมือให้ผู้เสียหาย ข้อหานอกจากนี้ให้ยกเสีย

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(7) ด้วยและอุทธรณ์ว่า คำให้การชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณามิได้เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาเลย ไม่สมควรลดโทษให้จำเลยที่ 1 และอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 2 ควรมีความผิดตามฟ้องโจทก์หรืออย่างน้อยก็ควรมีความผิดฐานเป็นผู้สมรู้ช่วยเหลือในการกระทำผิดครั้งนี้

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลย ต่อมาได้ขอถอนอุทธรณ์เสียศาลอุทธรณ์สั่งอนุญาต

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า ไม่ลดโทษ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบด้วยมาตรา 53(1) ให้จำเลยที่ 1 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ตลอดชีวิตนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(7)

จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ยกฟ้อง

ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนร้ายกระทำการปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายจริงส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยควรจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(7) นั้นเห็นว่า จำเลยสมคบกับพวกทำการปล้นทรัพย์ เมื่อปล้นทรัพย์แล้ว ระหว่างที่พาเอาทรัพย์หนีไปและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นจากการจับกุมและปกปิดการกระทำผิดของพวกตน พวกของจำเลยคนใดคนหนึ่งซึ่งไม่ปรากฏจากข้อเท็จจริงแน่ชัดว่าเป็นคนใดได้ยิงสิบเอกอภิรัตน์พวกผู้เสียหายถึงตายเป็นเรื่องสมคบกันมาปล้นทรัพย์แล้วมีการตายเกิดขึ้น เมื่อโจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนยิงพวกเจ้าทรัพย์ตาย หรือจำเลยที่ 1 ได้สมคบกับคนร้ายในการปล้นรายนี้ฆ่าพวกของเจ้าทรัพย์หลังจากทำการปล้นทรัพย์แล้วและระหว่างที่พาเอาทรัพย์หนีไป ความผิดของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องด้วยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(7)

พิพากษายืน ยกฎีกาจำเลยที่ 1 และโจทก์

Share