คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1056/2521

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ค่าน้ำมันปิโตรเลียมตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยทำให้บริษัทโจทก์ไว้ โดยบรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้ค่าน้ำมันปิโตรเลียมอยู่แก่บริษัทโจทก์ จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้บริษัทโจทก์ไว้รับว่าเป็นหนี้บริษัทโจทก์อยู่ตามจำนวนในหนังสือรับสภาพหนี้นั้นจริง แต่จำเลยบิดพลิ้วไม่ชำระจึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้ชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้แก่โจทก์ ดังนี้เป็นฟ้องที่ได้กล่าวระบุความอันเป็นมูลกรณีที่ทำให้เกิดอำนาจฟ้องร้องของโจทก์ และเหตุที่จำเลยจะต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ เป็นฟ้องที่ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรค 2 แล้วแม้จะมิได้ระบุว่าหนี้นั้นเป็นหนี้ค่าน้ำมันปิโตรเลียมเมื่อเดือนไหน ปีไหน กี่ครั้งก็หาเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่
จำเลยอ้างว่า ที่จำเลยยอมทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้บริษัทโจทก์เพราะบริษัทโจทก์ข่มขู่ว่าจะไม่ส่งน้ำมันที่จำเลยสั่งซื้อให้ จำเลยมีความต้องการที่จะขายน้ำมันของบริษัทโจทก์ต่อไป ทั้งมีลูกค้าสั่งซื้อน้ำมันจากจำเลยรอรับน้ำมันจากจำเลยอยู่เป็นจำนวนมาก หากไม่ได้น้ำมันไปจะต้องถูกต่อว่าและเสียลูกค้าจำนวนมากไป ทั้งจะต้องเสียชื่อเสียงอีกด้วยการข่มขู่ดังกล่าวเป็นภัยที่ถูกคุกคามทำให้หวั่นเกรงต่อเกียรติยศชื่อเสียงในการค้าตกอยู่ภายใต้บังคับจิตใจไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงต้องทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้บริษัทโจทก์ไว้ ดังนี้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยเป็นหนี้บริษัทโจทก์อยู่ จึงย่อมเป็นการถูกต้องชอบธรรมที่บริษัทโจทก์จะเรียกให้จำเลยชำระ หรือให้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ การกระทำของบริษัทโจทก์เป็นเพียงการหาทางตกลงในการคิดบัญชีหนี้สิน หรือการเร่งรัดเอาชำระหนี้จากจำเลยตามสิทธิที่มีอยู่ของบริษัทโจทก์เท่านั้น หาเป็นการข่มขู่อันถึงขนาดที่จะทำให้หนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวตกเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 126 ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บริษัทโจทก์ดำเนินธุรกิจการค้า เกี่ยวกับการซื้อขายน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมทุกชนิด จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันซื้อสินค้าน้ำมันและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมของโจทก์เมื่องบบัญชีแล้วปรากฏว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ 227,739 บาท ซึ่งจำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ไว้ นอกจากนี้จำเลยยังมีหน้าที่ต้องคืนหรือชำระราคาถังสำหรับบรรจุแก๊สในส่วนที่เกินจากเงินซึ่งจำเลยได้วางมัดจำไว้แล้วให้โจทก์อีก 229,852 บาท จำเลยที่ 3 ได้ทำสัญญากับโจทก์ค้ำประกันการชำระหนี้ซึ่งจำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำไว้กับโจทก์เกี่ยวกับค่าซื้อผลิตภัณฑ์สินค้าและการคืนหรือใช้ราคาถังในวงเงิน 20,000 บาท โจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสามแล้ว เพิกเฉย ขอศาลบังคับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน 474,853 บาท 49 สตางค์ พร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 3 ชำระเงิน 20,000 บาทแก่โจทก์แทนจำเลยที่ 1 ที่ 2

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ให้การว่า โจทก์จะมีอำนาจฟ้องหรือไม่ ไม่รับรอง จำเลยติดต่อค้าขายกับโจทก์มานานแล้ว เมื่อปี 2517 จำเลยส่งเงินไปให้โจทก์ 232,300บาท เพื่อขอซื้อน้ำมันปิโตรเลียมไปจำหน่าย โจทก์รับเงินแล้วไม่จ่ายน้ำมันให้อ้างว่าจำเลยยังเป็นหนี้ค่าน้ำมันอยู่อีก 227,739 บาท จำเลยชี้แจงว่าหนี้สินระหว่างโจทก์จำเลยไม่มีต่อกัน โจทก์ก็ไม่ยอมจ่ายเว้นแต่จำเลยจะทำหนังสือให้โจทก์ว่าจำเลยติดค้างค่าน้ำมันอยู่เป็นจำนวนดังกล่าว ซึ่งเป็นการบีบบังคับจำเลยให้จำต้องยอม เป็นการฉ้อฉลและข่มขู่ จึงเป็นโมฆะหรือโมฆียะตามกฎหมาย ทั้งจำเลยทำไปโดยสำคัญผิดในสารสำคัญว่า จำเลยอาจติดค้างเงินโจทก์อยู่บ้างตามที่โจทก์กล่าวอ้าง หลอกลวง ขู่เข็ญ ฉ้อฉลให้จำเลยหลงเชื่อ แต่เมื่อได้ตรวจสอบหลักฐานต่าง ๆ แล้ว ปรากฏว่าจำเลยมิได้ติดค้างเงินโจทก์ จึงได้บอกล้างสัญญาดังกล่าวแล้ว เงินค่าถังแก๊สนั้นโจทก์ ได้คิดเงินไปจากจำเลยแล้วทุกถัง จึงไม่มีหนี้สินเกี่ยวกับถังแก๊สกับโจทก์อีกฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ

จำเลยที่ 3 ให้การว่า ได้ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1แต่เพียงผู้เดียว และเฉพาะหนี้ค่าผลิตภัณฑ์สินค้าและค่าถังแก๊สเท่านั้นในวงเงินไม่เกิน 20,000 บาท จำเลยที่ 1 ไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ จำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ผ่อนการชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 โดยมิได้แจ้งให้จำเลยที่ 3 ทราบ และจำเลยที่ 3 มิได้ยินยอมด้วย จำเลยที่ 3 จึงพ้นความรับผิด

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมหนังสือรับสภาพหนี้ไม่เป็นโมฆะ จำเลยซื้อถังแก๊สจากโจทก์โดยชำระราคาครบถ้วนแล้ว จึงไม่ต้องรับผิดเกี่ยวกับค่าถังแก๊สอีก จำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้ต่อโจทก์ในการชำระหนี้ค่าซื้อผลิตภัณฑ์และการคืนหรือใช้ราคาถังในวงเงิน 20,000 บาท เมื่อฟังว่าจำเลยที่ 1 มิได้เป็นหนี้โจทก์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และถังแก๊สจำเลยที่ 3 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้หนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้เป็นเงิน227,739 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3

โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันใช้ค่าถังแก๊ส 114,912 บาท 50 สตางค์ พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่ใช่ให้จำเลยที่ 3ชำระแทนเป็นเงิน 20,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาเรื่องอำนาจฟ้อง โจทก์มีนายพิชัยมาเบิกความประกอบหนังสือรับรองของสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครกรมทะเบียนการค้ากระทรวงพาณิชย์ (เอกสารหมาย จ.1) ว่า บริษัทโจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด นายเอ็ดเวิร์ด เอส.โคเฮน เป็นกรรมการผู้มีอำนาจลงลายมือชื่อแทนบริษัทโจทก์ได้ นายเอ็ดเวิร์ด เอส.โคเฮน ได้ทำหนังสือมอบอำนาจตามเอกสารหมาย จ.2 ให้นายพิชัยมีอำนาจฟ้องคดีแพ่งตลอดจนมีอำนาจแต่งตั้งทนายความให้ทำหน้าที่แทนบริษัทโจทก์ได้ด้วย ปรากฏในตอนท้ายของเอกสารฉบับนี้ว่า นายเอ็ดเวิร์ด เอส.โคเฮน ได้ลงลายมือชื่อ ณที่ว่าการเขตบางรักต่อหน้าหัวหน้าเขตซึ่งเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายดังที่หัวหน้าเขตบางรักได้ลงชื่อและประทับตราประจำตำแหน่งกำกับรับรองมาจำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้นำสืบหักล้างให้เป็นอย่างอื่น แม้โจทก์จะมิได้นำตัวนายเอ็ดเวิร์ด เอส.โคเฮน มาเบิกความยืนยันด้วยตนเอง คดีก็ฟังได้ว่านายเอ็ดเวิร์ดเอส.โคเฮน เป็นกรรมการซึ่งมีอำนาจลงลายมือชื่อในนามของบริษัทโจทก์ ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้นายพิชัยฟ้องคดีแพ่งแทนบริษัทโจทก์ได้จริง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้

ในปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นหนี้ค่าน้ำมันปิโตเลียมของโจทก์เมื่อเดือนไหน ปีไหน เป็นจำนวนกี่ครั้ง ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม พิเคราะห์แล้วคดีนี้โจทก์ฟ้อง ขอให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชำระหนี้ค่าน้ำมันปิโตรเลียมตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยทำให้บริษัทโจทก์ไว้ บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นหนี้ค่าน้ำมันปิโตรเลียมอยู่แก่บริษัทโจทก์ จำเลยได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้บริษัทโจทก์ รับว่าเป็นหนี้บริษัทโจทก์อยู่ตามจำนวนในหนังสือรับสภาพหนี้นั้นจริง แต่จำเลยบิดพลิ้วไม่ชำระ จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยให้ชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้แก่โจทก์ ซึ่งเป็นฟ้องที่ได้กล่าวระบุความอันเป็นมูลกรณีที่ทำให้เกิดอำนาจฟ้องร้องของโจทก์ และเหตุที่จำเลยจะต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ ทั้งได้คัดสำเนาเอกสารที่อ้างอิงมีผู้รับรองความถูกต้องส่งประกอบมาพร้อมคำฟ้องและแสดงความประสงค์ที่จะให้ศาลบังคับจำเลยทั้งสองในคำขอท้ายฟ้องอย่างชัดเจน เป็นฟ้องที่ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสองแล้ว แม้จะมิได้ระบุว่าหนี้นั้นเป็นหนี้ค่าน้ำมันปิโตเลียมเมื่อเดือนไหน ปีไหน กี่ครั้ง ก็หาเป็นฟ้องเคลือบคลุมดังที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาไม่

ในปัญหาที่ว่าหนังสือรัสภาพหนี้ตามฟ้องสมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 จำต้องลงลายมือชื่อในหนังสือรับสภาพหนี้ให้บริษัทโจทก์ เพราะบริษัทโจทก์ข่มขู่ว่าถ้าไม่ลงให้ บริษัทโจทก์จะไม่ส่งน้ำมันจำนวนที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 สั่งซื้อในครั้งนั้นไปให้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีความต้องการที่จะขายน้ำมันของบริษัทโจทก์ต่อไป ทั้งมีลูกค้าสั่งซื้อน้ำมันจากจำเลยที่ 1 ที่ 2รอรับน้ำมันจากจำเลยที่ 1 ที่ 2 อยู่เป็นจำนวนมาก ถ้าไม่ได้น้ำมันไปให้เขาเหล่านั้นโดยรีบด่วนแล้ว จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะต้องถูกต่อว่าและเสียลูกค้าอันมีเป็นจำนวนมากไปทั้งจะต้องเสียชื่อเสียงอีกด้วย การข่มขู่ของบริษัทโจทก์ดังกล่าวเป็นภัยที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ถูกคุกคาม ทำให้หวั่นเกรงต่อเกียรติยศชื่อเสียงในการค้าตกอยู่ภายใต้การบีบบังคับจิตใจไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงต้องทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้บริษัทโจทก์ โดยความจริงจำเลยที่ 1 ที่ 2 มิได้เป็นหนี้บริษัทโจทก์เลยนั้น โจทก์มีนายสุชิน ซึ่งจำเลยที่ 2 เบิกความว่าเป็นผู้แทนบริษัทโจทก์มาคิดบัญชีกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 เบิกความเป็นพยานว่า หลังจากคิดบัญชีกับจำเลยที่ 1ที่ 2 เมื่อประมาณเดือนกันยายน 2516 แล้ว ปรากฏว่าในระหว่างเดือนกรกฎาคม2516 ถึงเดือนสิงหาคม 2517 ซึ่งจำเลยที่ 1 ที่ 2 ว่าไม่ได้เป็นหนี้บริษัทโจทก์นั้น ความจริงจำเลยที่ 1 ที่ 2 ยังเป็นหนี้บริษัทโจทก์อยู่รวม 227,749 บาท ซึ่งเมื่อพยานได้แยกรายละเอียดให้ดูตามเอกสารหมาย จ.11 ซึ่งมีอยู่รวม 13 ฉบับ จำเลยก็ยอมรับว่าเป็นหนี้บริษัทโจทก์อยู่ตามจำนวนดังกล่าวจริง จำเลยที่ 1 ที่ 2จึงลงลายมือชื่อในหนังสือรับสภาพหนี้ตามฟ้องให้บริษัทโจทก์ จำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่มีพยานมาหักล้างให้เป็นอย่างอื่น จึงต้องฟังว่าความจริงจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นหนี้บริษัทโจทก์อยู่ตามที่โจทก์นำสืบ ซึ่งย่อมเป็นการถูกต้องชอบธรรมต่อกันที่บริษัทโจทก์จะเรียกให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ชำระ หรือทำหนังสือรับสภาพหนี้นั้นให้บริษัทโจทก์ ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 อ้างว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ยอมทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์เพราะบริษัทโจทก์ข่มขู่บีบบังคับว่าถ้าไม่ทำให้ จะไม่ส่งน้ำมันจำนวนที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 สั่งซื้อมา เงินที่ส่งมาเพื่อชำระราคาน้ำมันที่สั่งก็จะยึดไว้นั้นขัดกับข้อต่อสู้ของตนเองที่ให้การไว้ว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์โดยสำคัญผิดในสารสำคัญว่าจำเลยอาจติดค้างเงินโจทก์อยู่บ้าง ทั้งความดังที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกามาเป็นเพียงการหาทางตกลงในการคิดบัญชีหนี้สิน หรือการเร่งรัดเอาชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ที่ 2 ตามสิทธิที่มีอยู่ของบริษัทโจทก์เท่านั้นหาเป็นการข่มขู่ไม่ จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ตามหนังสือนั้นแก่โจทก์ตามฟ้อง

พิพากษายืน

Share