แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
กระทรวงสาธารณสุขจำเลยทำสัญญาเพิ่มเงินค่าก่อสร้างให้แก่โจทก์ผู้รับจ้างเพราะอุปกรณ์การก่อสร้างมีราคาสูงขึ้นผิดปกติเนื่องจากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ หากจำเลยผู้ว่าจ้างไม่เพิ่มให้โจทก์อาจทิ้งงานเป็นผลให้งานก่อสร้างของทางราชการต้องล่าช้าเสียหาย เงินเพิ่มชดเชยนี้เป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างตามสัญญาเดิมซึ่งโจทก์ผู้รับจ้างจะต้องวางเงินสดหรือหนังสือค้ำประกันเช่นเดียวกับสัญญาเดิม และเป็นเงินที่เพิ่มตามมติคณะรัฐมนตรีซึ่งมีจำนวนตามที่คู่สัญญาตกลงกันแล้วว่า จะเพียงพอให้งานก่อสร้างตามสัญญาเดิมดำเนินไปจนเสร็จสิ้น ดังนั้น ข้อความในสัญญาเพิ่มเงินค่าก่อสร้างที่ว่า “ผู้ว่าจ้างตกลงจะจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้รับจ้าง เป็นจำนวนเงิน 1,530,880 บาท เมื่อได้รับอนุมัติงวดเงินจากสำนักงบประมาณตามกฎหมายแล้ว” จึงมิใช่เงื่อนไข แต่เป็นวิธีการกำหนดการจ่ายเงินค่าจ้างคือ จำเลยผู้ว่าจ้างจะจ่ายเงินค่าจ้างให้โจทก์ เมื่อได้รับอนุมัติงวดเงินจากสำนักงบประมาณแล้ว จำเลยจะอ้างว่าไม่ต้องรับผิดในกรณีที่สำนักงบประมาณไม่อนุมัติงวดเงินที่ค้างชำระอยู่อีก 356,690 บาทหาได้ไม่
จำเลยไม่ได้ยกปัญหาเรื่องอายุความขึ้นในชั้นอุทธรณ์ จะยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกาไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมเดิมพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 6) พ.ศ.2518 มาตรา 7
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยว่าจ้างโจทก์ทำการก่อสร้างอาคารเป็นเงิน 5,630,000บาท ต่อมาอุปกรณ์ก่อสร้างราคาสูงขึ้น จำเลยได้เพิ่มเงินค่าก่อสร้างจากสัญญาเดิมให้โจทก์อีก 1,530,880 บาท ตามสัญญาชดเชยเงินค่าจ้าง โจทก์สร้างอาคารแล้วเสร็จตามสัญญาจำเลยยังค้างชำระค่าก่อสร้างเป็นเงิน 356,960บาท จึงขอให้จำเลยชำระเงินดังกล่าว พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดในเงินตามฟ้อง เพราะเงื่อนไขในการชำระเงินดังกล่าวนั้นไม่เสร็จ เพราะไม่ได้รับอนุมัติจากสำนักงบประมาณตามกฎหมายนิติกรรมส่วนนี้จึงไม่มีผล จำเลยไม่ต้องรับผิด และฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
จำเลยที่ 2, 3, 4 ให้การว่าเป็นเพียงตัวแทนจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามฟ้องและยกฟ้องจำเลยที่ 2, 3, 4
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าตามสัญญาท้ายฟ้องหมาย 3ข้อ 4 ได้กำหนดเงื่อนไขการจ่ายเงินชดเชยไว้ว่า ผู้จ้างจะจ่ายเงินให้แก่ผู้รับจ้างเมื่อได้รับอนุมัติงวดเงินจากสำนักงบประมาณตามกฎหมายจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดในกรณีที่สำนักงบประมาณไม่อนุมัติงวดเงินที่ค้างชำระอยู่อีก 356,960 บาท
สัญญาชดเชยเงินค่าจ้างท้ายฟ้องหมายเลข 3 มีความว่าสัญญานี้ทำขึ้นเพื่อเพิ่มเงินค่าก่อสร้าง เป็นการชดเชยให้แก่ผู้รับทำการก่อสร้างอาคารของทางราชการตามนัยมติคณะรัฐมนตรี ผู้รับจ้างมีสิทธิที่จะได้รับเพิ่มเป็นการชดเชยต่อเมื่อได้ทำงานแล้วเสร็จตามสัญญาเดิมคือ สัญญาฉบับท้ายฟ้องหมายเลข 2 และผู้รับจ้างได้วางเงินสดหรือหนังสือค้ำประกันของธนาคารในอัตราร้อยละ 4 ของเงินเพิ่มชดเชย เป็นจำนวนเงิน 76,544 บาท ให้ผู้ว่าจ้างยึดถือไว้ข้อ 4 มีความว่า “ผู้ว่าจ้างตกลงจะจ่ายเงินชดเชยให้แก่ผู้รับจ้างเป็นจำนวนเงิน 1,530,880 บาท (หนึ่งล้านห้าแสนสามหมื่นแปดร้อยแปดสิบบาทถ้วน)เมื่อได้รับอนุมัติงวดเงินจากสำนักงบประมาณตามกฎหมายแล้ว” เห็นได้ว่าสัญญาดังกล่าวทำขึ้นเพื่อเพิ่มเงินค่าก่อสร้างให้แก่ผู้รับจ้างคือโจทก์ เป็นการเพิ่มเงินค่าก่อสร้างให้สูงขึ้นกว่าสัญญาเดิม ส่วนข้อกำหนดสัญญาอื่น ๆคงเป็นไปตามสัญญาเดิมทุกประการ (สัญญาข้อ 2) เหตุที่ต้องเพิ่มเงินค่าก่อสร้างเป็นเพราะเครื่องอุปกรณ์การก่อสร้างมีราคาสูงขึ้นผิดปกติ เนื่องจากวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ (ดังที่โจทก์บรรยายฟ้องซึ่งจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธ) หากจำเลยที่ 1 ผู้ว่าจ้างไม่เพิ่มให้โจทก์อาจทิ้งงานเป็นผลให้งานก่อสร้างของทางราชการต้องล่าช้าเสียหายเงินเพิ่มชดเชยนี้เป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างตามสัญญาเดิมซึ่งโจทก์ผู้รับจ้างจะต้องวางเงินสดหรือหนังสือค้ำประกันของธนาคารเช่นเดียวกับสัญญาเดิม เงินที่เพิ่มให้ตามมติคณะรัฐมนตรีมีจำนวนที่คู่สัญญาตกลงกันแล้วว่าจะเพียงพอให้งานก่อสร้างตามสัญญาเดิมดำเนินไปจนเสร็จสิ้นจึงได้กำหนดไว้เป็นจำนวนแน่นอนในสัญญาท้ายฟ้องหมายเลข 3ข้อ 4 เป็นจำนวนเงิน 1,530,880 บาท มีผลผูกพันคู่สัญญา ฉะนั้น ความในสัญญาข้อ 4 ที่ว่า “เมื่อได้รับอนุมัติงวดเงินจากสำนักงบประมาณตามกฎหมายแล้ว ฯลฯ” จึงมิใช่เงื่อนไ แต่เป็นวิธีการกำหนดการจ่ายเงินค่าจ้าง คือจำเลยที่ 1จะจ่ายเงินค่าจ้างให้โจทก์ เมื่อได้รับอนุมัติงวดเงินจากสำนักงบประมาณตามกฎหมายแล้ว และเมื่อโจทก์ผู้รับจ้างทำงานเสร็จและขอรับเงินงวดที่ 8อันเป็นงวดสุดท้ายของสัญญาเดิม ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น ข้อที่จำเลยที่ 1ฎีกาว่าโจทก์ใช้สิทธิเรียกเงินสินจ้างเพื่อการงานที่ทำเกิน 2 ปี ขาดอายุความตามกฎหมายนั้น จำเลยที่ 1 มิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ จะยกขึ้นอ้างอิงในฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 7
พิพากษายืน