แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ตามสัญญาจ้างแรงงาน จำเลยตกลงจ่ายเงินเดือนเดือนละ 65,000 บาทและเงินผลตอบแทนอีกเดือนละ 15,000 บาท ให้แก่โจทก์ โดยจำเลยไม่จัดรถยนต์และค่าใช้จ่ายใดทางด้านรถยนต์ให้โจทก์ แต่เงินผลตอบแทนดังกล่าวต้องนำรวมเข้าเสมือนเป็นรายได้ที่ได้รับเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือนเงินที่จำเลยจ่ายให้โจทก์อีกเดือนละ 15,000 บาท เป็นเงินที่จำเลยจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานของโจทก์ในอัตราที่แน่นอนเท่ากันทุกเดือนทำนองเดียวกับเงินเดือน จึงเป็นค่าจ้าง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลย ตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมาย ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 65,000 บาท และค่าพาหนะเดือนละ 15,000 บาท ต่อมาวันที่ 24 พฤศจิกายน 2540 จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2540 และจำเลยได้จ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพร้อมค่าชดเชยแก่โจทก์เพียง 130,000บาท ส่วนที่ขาดอีก 30,000 บาท จำเลยไม่ชำระ ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันผิดนัดคือวันที่ 1 ธันวาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2540 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2540 จำเลยจ่ายค่าจ้างแก่โจทก์เดือนละ 65,000 บาทและเงินอื่นอีกเดือนละ 15,000 บาท โดยจำเลยไม่จัดรถยนต์และค่าใช้จ่ายใด ๆ ในด้านรถยนต์ให้โจทก์ ซึ่งโจทก์ก็ได้รับเงินตอบแทนเดือนละ 15,000 บาท เงินจำนวนนี้จะต้องนำมารวมคำนวณเสมือนเป็นรายได้ที่ได้รับเพิ่มขึ้นและต้องรับผิดชอบต่อการเสียภาษีด้วย เงินอื่นที่โจทก์ได้รับจากจำเลยนี้เป็นเงินค่าพาหนะที่จำเลยเหมาจ่ายแก่โจทก์เพื่อตอบแทนการทำงานเวลาปกติของโจทก์ในอัตราที่แน่นอนเท่ากันทุกเดือน เงินค่าพาหนะดังกล่าวจึงเป็นค่าจ้าง จำเลยจึงต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเท่ากับอัตราค่าจ้าง 1 เดือนและค่าชดเชยไม่น้อยกว่าค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น160,000 บาท แต่จำเลยจ่ายเงินทั้งสองจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์เพียง130,000 บาท จึงไม่ถูกต้อง จำเลยต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยแก่โจทก์อีก 30,000 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยเพิกเฉย จำเลยตกเป็นผู้ผิดนัดสมควรให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันครบกำหนด 7 วัน ตามที่จำเลยได้รับหนังสือทวงถาม พิพากษาให้จำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 15,000 บาท ค่าชดเชย 15,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 6 พฤษภาคม 2541 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าเงินค่ารถประจำตำแหน่งไม่ใช่ค่าจ้างเพราะมิใช่เป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงาน แต่เป็นเงินสวัสดิการที่จ่ายให้เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลพนักงานจะนำมารวมคำนวณเป็นค่าจ้างตามกฎหมายแรงงานไม่ได้นั้น เห็นว่าตามสัญญาจ้างแรงงาน เอกสารหมาย จ.5 จำเลยตกลงจ่ายเงินเดือนเดือนละ 65,000 บาท และเงินผลตอบแทนอีกเดือนละ 15,000 บาทให้แก่โจทก์โดยจำเลยไม่จัดรถยนต์และค่าใช้จ่ายใดทางด้านรถยนต์ให้โจทก์ แต่เงินผลตอบแทนดังกล่าวต้องนำรวมเข้าเสมือนเป็นรายได้ที่ได้รับเพิ่มขึ้นในแต่ละเดือน เงินที่จำเลยจ่ายให้โจทก์อีกเดือนละ15,000 บาท จึงเป็นเงินที่จำเลยจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานของโจทก์ในอัตราที่แน่นอนเท่ากันทุกเดือนทำนองเดียวกับเงินเดือนเงินผลตอบแทนที่จำเลยจ่ายแก่โจทก์ดังกล่าวจึงเป็นค่าจ้าง หาใช่เป็นเพียงค่าสวัสดิการดังที่จำเลยอ้างไม่”
พิพากษายืน