แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยเบิกความต่อศาลเป็นพยานในคดีที่โจทก์ถูกฟ้องว่าสมคบกันวางเพลิง โดยจำเลยเบิกความว่า “โจทก์พูดว่าอ้ายหวินมันจะวิเศษขนาดไหน แล้วนายอมรพูดว่าเอาเลยเป็นไรเป็นกันพวกเรา ทำแบบนี้” ข้อความที่จำเลยเบิกความนี้เป็นความเท็จแต่ก็ยังห่างไกลกับข้อเท็จจริงที่กล่าวหาว่าโจทก์กระทำการวางเพลิง และไม่พอฟังได้ว่า โจทก์กับนายอมรได้คบคิดกันวางเพลิงตามที่โจทก์ฟ้อง คำเบิกความนั้นจึงมิใช่เป็นข้อสำคัญในคดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเบิกความเท็จ จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้อความที่จำเลยเบิกความต่อศาลเป็นเท็จพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 1 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า ข้อความที่จำเลยเบิกไม่ใช่ข้อสำคัญในคดี
ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีก่อนอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 6 ได้ฟ้องนายอมร เทพสัตยาภร กับนายเสรี โจทก์ในคดีนี้เป็นจำเลยโดยกล่าวหาว่าร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์สินของผู้อื่น ผลที่สุดของคดีนั้นศาลได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ นายเสรีจึงเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้ว่าเบิกความเท็จ ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงในคดีนี้ว่าขณะจำเลยเดินผ่านร้านศรีอัมฤทธิ์ ซึ่งเป็นร้านของนายอมรได้เห็นโจทก์กับนายอมรคุยกันในร้าน โจทก์พูดว่า “อ้ายหวินมันจะวิเศษขนาดไหน แล้วนายอมรพูดว่าเอาเลยเป็นไรเป็นกันพวกเราทำแบบนี้”ซึ่งข้อความนี้ศาลอุทธรณ์ได้ฟังมาแล้วว่าเป็นความเท็จ แต่ข้อความที่จำเลยเบิกความไปดังกล่าวนี้จะเป็นข้อสำคัญในคดีอันจะเป็นความผิดตามกฎหมายที่ฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า การพิจารณาในคดีของศาลมณฑลทหารบกที่จำเลยไปเบิกความนั้น มีประเด็นอันเป็นข้อสำคัญในคดีว่า โจทก์ในคดีนี้ได้ร่วมกับพวกกระทำการวางเพลิงเผาทรัพย์ตามที่ได้ฟ้องหรือไม่ ปรากฏตามคำพิพากษาในคดีนั้นซึ่งวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิดคงมีแต่พยานแวดล้อมโดยเฉพาะพยานปากนายถนอม ไตรทรัพย์ (จำเลยคดีนี้)เป็นพยานเดี่ยวและมีข้อที่จำเลยนำสืบหักล้างมีน้ำหนักน้อยที่จะรับฟัง ศาลฎีกาเห็นว่าข้อความที่จำเลยเบิกความมาดังกล่าวแล้วยังห่างไกลกับข้อเท็จจริงในคดีที่กล่าวหาว่าโจทก์กระทำการวางเพลิง ไม่พอที่จะทำให้ฟังไปได้ว่าโจทก์กับนายอมรได้คบคิดกันวางเพลิงตามที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ จึงเป็นที่เห็นได้ว่าคำเบิกความที่นายถนอม ไตรทรัพย์ จำเลยเบิกความไปนั้น มิใช่เป็นข้อสำคัญในคดี ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยโดยฟังว่า ข้อความที่จำเลยเบิกความเป็นข้อสำคัญในคดี ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยจำเลยยังไม่มีความผิดตามกฎหมายที่โจทก์ฟ้อง ฎีกาจำเลยฟังขึ้น และศาลฎีกาไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในข้ออื่นต่อไป
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องของโจทก์เสีย