คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 230/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การยื่นคำขอให้ขยายเวลายื่นอุทธรณ์คดีอาญาภายหลัง ล่วงเลยกำหนด 15 วัน แล้วจะต้องเข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23
การที่โจทก์มีบ้านพักอยู่ห่างศาล 38 กิโลเมตรป่วยเป็นหวัด และพยาธิตัวตืดมีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดท้อง เมื่อโจทก์ มาในเมืองขอให้แพทย์ตรวจร่างกายได้ก็น่าจะมาศาลเพื่อยื่นอุทธรณ์ได้ จึงไม่แสดงว่ามีเหตุสุดวิสัยแต่ประการใด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นางจูมได้ไปแจ้งการเกิดต่อจำเลยซึ่งเป็นสารวัตรกำนันผู้ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่รับแจ้งการเกิดว่านางจูมได้เกิดบุตรชายชื่อรัศมี หอมจำปา แต่ไม่ได้แจ้งว่าใครเป็นบิดา จำเลยได้แก้สูติบัตรเปลี่ยนนามสกุลเป็นของโจทก์ และเติมชื่อโจทก์ในช่องบิดาทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 162, 161 และขอให้แก้ชื่อ นามสกุลโจทก์ออก

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โดยอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2509

โจทก์ยื่นอุทธรณ์วันที่ 8 กรกฎาคม 2509 และยื่นคำร้องในวันเดียวกันว่าไม่สามารถยื่นในวันที่ 7 กรกฎาคม 2509 ซึ่งเป็นวันครบกำหนด เพราะเหตุสุดวิสัย

ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ ว่าไม่ใช่เหตุสุดวิสัย

โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์เพิ่มว่าในส่วนแพ่งโจทก์ยื่นในกำหนด ให้รับอุทธรณ์ส่วนแพ่งโจทก์ฎีกาขอให้รับอุทธรณ์ในคดีส่วนอาญาด้วย

ศาลฎีกาเห็นว่า การยื่นคำขอให้ศาลขยายเวลายื่นอุทธรณ์ในคดีอาญาภายหลังที่ล่วงเลยกำหนด 15 วันมาแล้ว จะต้องเข้าหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 คือจะต้องเป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัย

โจทก์อ้างว่ามีเหตุสุดวิสัยโดยโจทก์ป่วยเป็นหวัด ท้องร่วงอย่างแรง ตามหนังสือรับรองแพทย์ว่าเป็นหวัด พยาธิตัวตืดมีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดท้อง เบื่ออาหาร ควรรักษาตัว 7 วัน แม้บ้านพักของโจทก์อยู่ห่างศาล 38 กิโลเมตร แต่ใบแสดงความเห็นของแพทย์ลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2509 ว่า เขียนและตรวจที่โรงพยายาลอุบลราชธานี แสดงว่าโจทก์มาให้แพทย์โรงพยาบาลอุบลราชธานีตรวจที่จังหวัดอุบลราชธานีในวันที่ 7 นั้นแล้ว ก็เมื่อโจทก์มาในเมืองขอให้แพทย์ตรวจร่างกายได้ก็น่าจะมาศาลเพื่อยื่นอุทธรณ์ได้จึงไม่แสดงว่ามีเหตุสุดวิสัย

พิพากษายืน

Share