คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2571/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ชำระบัญชีของบริษัทจำเลยที่ 1 แบ่งทรัพย์สินของบริษัทคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นไป โดยยังไม่ได้ชำระหนี้ค่าภาษีอากรให้แก่โจทก์อันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1269 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิฟ้องบริษัทผู้ชำระบัญชีและผู้ถือหุ้นให้รับผิดต่อโจทก์ได้
เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยชี้ขาดการประเมินภาษีของบริษัทจำเลยที่ 1 แล้ว แต่จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคณะกรรมการดังกล่าวภายใน 30 วัน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2) จึงหมดสิทธิที่จะรื้อฟื้นการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินขึ้นโต้แย้งต่อศาลต่อไป
โจทก์ฟ้องให้จำเลยอื่นซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นให้ร่วมรับผิดในหนี้ภาษีเงินได้ของบริษัทจำเลยที่ 1 ที่ต้องชำระ มิได้ฟ้องให้รับผิดในหนี้ภาษีเงินได้ส่วนตัวของจำเลยอื่น จึงไม่จำเป็นต้องเรียกจำเลยอื่นให้ปฏิบัติหรือตอบคำถามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 21
การที่เจ้าหนี้ติดตามหนี้สินคืนจากผู้ถือหุ้นที่ได้รับแบ่งทรัพย์สินของบริษัทไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นกลับคืนนั้น มิใช่เป็นเรื่องเรียกให้ชำระมูลค่าของหุ้นที่ยังส่งให้ไม่ครบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นบริษัทจำกัด จำเลยที่ 2 ถึงที่ 10 เป็นผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการขายที่ดินได้แสดงรายการกำไรสุทธิที่ต้องเสียภาษีเงินได้ไม่ถูกต้อง โดยนำเอารายจ่ายที่ต้องห้ามไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายมาหักเพื่อคำนวณหากำไรสุทธิ ต่อมาเจ้าพนักงานของโจทก์จึงได้ปรับปรุงยอดกำไรสุทธิใหม่ทำให้จำเลยที่ 1 ต้องเสียภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น และจำเลยที่ 1 มิได้หักภาษีเงินได้ของลูกจ้างคนงานไว้ และนำส่ง ณ ที่ว่าการอำเภอท้องที่ภายในกำหนด ต่อมาจำเลยที่ 1 เลิกบริษัทจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีของจำเลยที่ 1 ด้วย ได้คืนเงินค่าหุ้นและแบ่งผลกำไรให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 10 โดยยังไม่ได้ชำระหนี้ค่าภาษีอากรที่ค้างแก่โจทก์ เป็นการชำระบัญชีและแบ่งผลกำไรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 10 ร่วมกันชำระค่าภาษีอากรที่ค้างให้แก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 10 ให้การทำนองเดียวกันว่าจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนเลิกบริษัทและจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชีแล้วโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1 มิได้นำรายจ่ายที่ต้องห้ามไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ แต่เป็นรายจ่ายเพื่อกิจการของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ได้ชำระบัญชีถูกต้องแล้ว และมิใช่กรณีที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามหมายหรือคำสั่งของเจ้าพนักงานประเมินหรือไม่ยอมตอบคำถามเมื่อซักถามโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดเสียเงินอีกร้อยละ 20 ทั้งมิใช่ไม่ชำระภาษีอากรภายในกำหนด จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดเสียเงินเพิ่มฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 10 เคลือบคลุม และจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวในฐานะผู้ถือหุ้นย่อมต้องรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ตนยังส่งใช้ไม่ครบมูลค่าของหุ้นที่ตนถือเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 3 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 และที่ 9 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยที่ 1 ได้ค้างชำระค่าภาษีโจทก์อยู่จริงตามฟ้องพิพากษาให้จำเลยทั้ง 10 ร่วมกันชำระค่าภาษีอากรตามฟ้องให้โจทก์ โดยให้จำเลยที่ 3 และที่ 4 ซึ่งได้รับส่วนแบ่งไม่เกินจำนวนเงินที่โจทก์ฟ้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 โดยสิ้นเชิง ส่วนจำเลยที่เหลือให้รับผิดเพียงไม่เกินจำนวนเงินที่ได้รับส่วนแบ่งคืนไป

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 10 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 10 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ที่จำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 10 ฎีกาว่า เมื่อจำเลยที่ 1 จดทะเบียนเลิกบริษัทเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม2518 แล้ว จำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 10 ย่อมพ้นจากการเป็นผู้ถือหุ้นนับแต่นั้นเป็นต้นมา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสี่ในฐานะผู้ถือหุ้นบริษัทจำเลยที่ 1 ให้รับผิดในหนี้รายนี้ พิเคราะห์แล้วเห็นว่ากรณีตามฟ้องของโจทก์เป็นการกล่าวอ้างว่าผู้ชำระบัญชีปฏิบัติฝ่าฝืนกฎหมาย โดยแบ่งทรัพย์สินของบริษัทจำเลยที่ 1 คืนให้แก่ผู้ถือหุ้นไปทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ชำระหนี้ค่าภาษีอากรให้แก่โจทก์อันเป็นการปฏิบัติฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1269 ซึ่งบัญญัติว่า “อันทรัพย์สินของ ฯลฯ บริษัทนั้น จะแบ่งคืนให้แก่ ฯลฯ ผู้ถือหุ้นได้แต่เพียงเท่าที่ไม่ต้องเอาไว้ใช้ในการชำระหนี้ของ ฯลฯ บริษัทเท่านั้น ” เมื่อมีการฝ่าฝืนบทบัญญัติดังกล่าว โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิฟ้องบริษัทผู้ชำระบัญชีและผู้ถือหุ้นให้รับผิดต่อโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1272 ข้อตัดฟ้องของจำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 10 ที่ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสี่จึงฟังไม่ขึ้น

ในปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดชำระหนี้ค่าภาษีเพิ่มหรือไม่นั้นข้อเท็จจริงปรากฏว่า เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ได้แจ้งจำนวนเงินค่าภาษีที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระเพิ่มไปยังจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ได้ยื่นอุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยชี้ขาดอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 โดยให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต่อศาลภายในกำหนดเวลา 30 วัน นับแต่วันได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตามที่บัญญัติบังคับไว้ในประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2) ดังนั้น จำเลยที่ 1 จึงหมดสิทธิที่จะรื้อฟื้นการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินขึ้นโต้แย้งในศาลต่อไป และต้องรับผิดชำระหนี้ค่าภาษีรายนี้ จะถือว่าจำเลยที่ 1 ได้เสียภาษีถูกต้องแล้วดังจำเลยที่ 1 อ้างหาได้ไม่

ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่ได้เรียกจำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 10 ให้ปฏิบัติหรือตอบคำถามตามกฎหมาย จำเลยทั้งสี่จึงไม่ต้องรับผิดเสียภาษีเพิ่มดังฟ้องโจทก์พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสี่ร่วมรับผิดในหนี้ภาษีเงินได้ของบริษัทจำเลยที่ 1 ที่ต้องชำระ มิได้ฟ้องให้รับผิดในหนี้ภาษีเงินได้ส่วนตัวของจำเลยทั้งสี่ทั้งโจทก์ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายโดยชอบในส่วนที่เกี่ยวกับบริษัทจำเลยที่ 1 แล้วจึงไม่จำเป็นต้องเรียกจำเลยทั้งสี่ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นให้ปฏิบัติหรือตอบคำถามอีก

ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 10 เป็นผู้ถือหุ้นย่อมรับผิดจำกัดเพียงไม่เกินจำนวนหุ้นที่ตนยังส่งให้ไม่ครบมูลค่าของหุ้นที่ตนถือเท่านั้น แต่กรณีตามฟ้องนี้ จำเลยทั้งสี่ได้ชำระครบถ้วนตามมูลค่าของหุ้นที่ตนถือแล้ว จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้สินของบริษัทจำเลยที่ 1 และฎีกาว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์มีผลเท่ากับโจทก์ขอให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 10 คืนเงินของจำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับไปโดยไม่ชอบนั้นกลับคืนให้แก่จำเลยที่ 1 นั้น เป็นการวินิจฉัยเกินคำขอ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า กรณีเรื่องนี้เป็นเรื่องจำเลยที่ 1 ทำงบดุลแสดงผลกำไรและเสียภาษีอากรไม่ชอบด้วยประมวลรัษฎากรแล้วจ่ายคืนให้ผู้ถือหุ้นไปโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1196, 1269 ดังวินิจฉัยไว้แล้วข้างต้น กรณีดังกล่าวเจ้าหนี้ชอบที่จะเรียกเอาคืนจากผู้ถือหุ้นเพื่อใช้ในการชำระหนี้ของบริษัทจำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 10 ซึ่งได้รับแบ่งทรัพย์สินของบริษัทจำเลยที่ 1 ไปโดยไม่ชอบจะอ้างว่าได้ชำระครบถ้วนตามมูลค่าของหุ้นที่ตนถือแล้วจึงไม่ต้องรับผิดในหนี้สินของบริษัทจำเลยที่ 1 นั้นหาได้ไม่ ส่วนที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์มีผลเท่ากับโจทก์ขอให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 10 คืนเงินของจำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับไปโดยไม่ชอบนั้นกลับคืนให้แก่จำเลยที่ 1 นั้น เป็นเพียงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยหาเป็นการวินิจฉัยเกินคำขอไม่

พิพากษายืน

Share